ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (27 ต.ค.) ขานรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ของสหรัฐที่ขยายตัวสูงกว่าคาด รวมทั้งผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ซึ่งรวมถึงแคทเธอร์ พิลลาร์ อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ยังคงปิดในแดนลบ หลังจากบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ เปิดเผยตัวเลขกำไรที่ต่ำกว่าคาด รวมทั้งการขาดทุนในธุรกิจเมตาเวิร์ส
-- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเมื่อคืนนี้ ตามการคาดการณ์ของตลาด
ทั้งนี้ ECB มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสู่ระดับ 1.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552 จากเดิมที่ระดับ 0.75%
-- อีซีเอ อินเตอร์เนชันแนล (ECA International) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเงินเดือน (Salary Trends Report) ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งได้แก่ไทย เวียดนาม และมาเลเซียนั้น เงินเดือนที่แท้จริงมีแนวโน้มสูงขึ้นในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อใน 3 ประเทศนี้มีแนวโน้มลดลง
สำหรับประเทศไทยนั้น เงินเดือนที่แท้จริงของพนักงานไม่เพิ่มขึ้นในปี 2565 และในทางตรงกันข้าม เงินเดือนที่แท้จริงในไทยกลับลดลง 1.8% เนื่องจากเงินเฟ้อของไทยในปี 2565 อยู่ในระดับที่สูงกว่าคาด อย่างไรก็ดี ในปี 2566 คาดว่าพนักงานในไทยจะได้ประโยชน์ทั้งในด้านเงินเดือนที่สูงขึ้นและอัตราเงินเฟ้อที่ลดต่ำลง ซึ่งจะส่งผลให้เงินเดือนที่แท้จริงของไทยมีอัตราการเติบโตสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ในเอเชียแปซิฟิกในปี 2566
-- หุ้นของบริษัททวิตเตอร์ อิงค์ จะถูกระงับการซื้อขายในวันศุกร์ที่ 28 ต.ค. เนื่องจากถึงกำหนดที่ศาลสั่งให้นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเทสลา อิงค์ ต้องเข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์ มูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ให้เสร็จสิ้น
-- นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนธ.ค. หลังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่เฟดเริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 51.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. และให้น้ำหนักเพียง 42.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 75% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.
-- Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมทั่วโลกมีจำนวน 634,398,190 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ระดับ 6,588,591 ราย
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเมื่อคืนวานนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งแรกสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.6% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.3%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 3,000 ราย สู่ระดับ 217,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 223,000 ราย
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.6%
ทั้งนี้ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนก.ย.ได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อรถยนต์และเครื่องบิน
-- ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในวันนี้ ฝรั่งเศสและเยอรมนีจะรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 (ประมาณการเบื้องต้น) เวลา 12.30 น. และ 15.00 น. ตามลำดับ (เวลาประเทศไทย)
ทางการสหรัฐจะรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย. เวลา 19.30 น. โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ
จากนั้นจะเป็นการรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนต.ค. โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน เวลา 21.00 น.