นักวิชาการคาดการณ์ว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอาจเผชิญกับราคาธัญพืชและเนื้อสัตว์ที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากรัสเซียประกาศระงับการมีส่วนร่วมในข้อตกลงการส่งออกธัญพืชของยูเครนผ่านเส้นทางทะเลดำ (Black Sea Grain Initiative) ซึ่งมีองค์การสหประชาชาติ (UN) เป็นคนกลาง
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียประกาศระงับการมีส่วนร่วมในข้อตกลงส่งออกธัญพืชยูเครนออกไปแบบไม่มีกำหนด เนื่องจากไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของเรือพลเรือนที่เดินทางภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว หลังเกิดเหตุโจมตีกองเรือรัสเซียในทะเลดำ โดยรัสเซียเชื่อว่าเป็นฝีมือของฝั่งยูเครน
นางเจเนวีฟ ดอนเนลลอน-เมย์ และนายพอล เต็ง นักวิชาการซึ่งเป็นผู้เขียนบทวิจัยที่ตีพิมพ์โดยสถาบันคลังความคิด RSIS ของสิงคโปร์ กล่าวว่า การผลิตและการบริโภคเนื้อสัตว์เป็นสิ่งสำคัญต่อภูมิภาคเอเชียและในหลายประเทศในเอเชีย โดยธัญพืช อาทิ ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเลี้ยงสัตว์เพื่อการผลิตเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อสัตว์ปีก ตลอดจนเนื้อปลา
นักวิชาการทั้ง 2 ระบุว่า ผู้ส่งออกรายใหญ่ในแถบทะเลดำของรัสเซียและยูเครน มีสัดส่วนการส่งออกข้าวสาลีประมาณ 1 ใน 3 ของโลก, มีสัดส่วนการส่งออกข้าวโพดประมาณ 15% ของโลก และมีสัดส่วนการส่งออกถั่วเหลืองประมาณ 2.1% ของโลก พร้อมเสริมว่า ประเทศในเอเชียได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากมีการนำเข้าจำนวนมากจากภูมิภาคดังกล่าว
นางดอนเนลลอน-เมย์คาดการณ์ว่า ผู้บริโภคในเอเชียอาจต้องเผชิญกับราคาอาหารที่สูงขึ้นอีก ซึ่งรวมถึงเนื้อสัตว์ เนื่องจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งต้นทุนด้านพลังงานและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
"เราคาดว่าสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากราคาปุ๋ย เชื้อเพลิง และอาหารที่สูงขึ้น ซ้ำเติมปัญหาห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักจากวิกฤตโควิด-19 และสภาพอากาศเลวร้ายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ทั้งนี้ ผู้บริโภคทั่วเอเชียแปซิฟิกควรเตรียมตัวให้เพื่อรับมือกับราคาอาหารและเนื้อสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น" นางดอนเนลลอน-เมย์