บรรดาวาณิชธนกิจรายใหญ่ระดับโลกซึ่งรวมถึงโกลด์แมน แซคส์ และเจพีมอร์แกนต่างก็คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงอีกในปี 2566 หลังจากที่อ่อนแรงลงอย่างมากในปีนี้ อันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามในยูเครน รวมทั้งการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็วที่สุดในช่วงที่ผ่านมา
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว 3.75% ในปีนี้ นับตั้งแต่ที่เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมี.ค. ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้มีการคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม
สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รวบรวมการคาดการณ์เศรษฐกิจโลก, เศรษฐกิจสหรัฐและจีนในปี 2566 ดังนี้:
ธนาคาร เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจสหรัฐ เศรษฐกิจจีน มอร์แกน สแตนลีย์ 2.20% 0.50% 5% โกลด์แมน แซคส์ 1.80% 1.1% 4.50% บาร์เคลย์ส 1.70% -0.1% 3.80% เจพีมอร์แกน - 1% - บีเอ็นพี พาริบาส์ 2.3% -0.10% 4.50% ยูบีเอส 2.1% 0.1% 4.50%
ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐในปี 2566 (เทียบรายปี) และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสูงสุดของเฟด:
ธนาคาร เงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) อัตราดอกเบี้ยเฟดสูงสุด มอร์แกน สแตนลีย์ 3.3% 4.625% (ภายในเดือนม.ค. 2566) โกลด์แมน แซคส์ 3.2% 5% - 5.25% (ภายในเดือนพ.ค. 2566) บาร์เคลย์ส 3.70% 5% - 5.25% (ภายในเดือนมี.ค. 2566) เจพีมอร์แกน 4.1% 5% (ภายในเดือนม.ค. 2566) บีเอ็นพี พาริบาส์ 4.40% 5% - 5.25% (ภายในไตรมาส 1/2566) ยูบีเอส 3.6% 5%
มอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่า เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกภายในเดือนธ.ค. 2566 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยยืนอยู่ที่ระดับ 4.375% ภายในสิ้นปีหน้า ขณะที่บาร์เคลย์สคาดว่า อัตราดอกเบี้ยของเฟดจะอยู่ในกรอบ 4.25% - 4.5% ภายในสิ้นปีหน้าหลังจากที่มีการปรับลดดอกเบี้ย
ทางด้านยูบีเอสคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ภายในสิ้นปีหน้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย