เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เดวิด เบคแฮม ตำนานนักเตะชื่อดัง กำลังเจรจาเพื่อขอซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
รายงานระบุว่า เบคแฮม ซึ่งเป็นอดีตนักเตะของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ได้ด้วยตนเอง แต่เขาสามารถจัดตั้งกลุ่มการลงทุนเพื่อเข้าซื้อได้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับกลุ่มที่จะร่วมลงทุนกับเบคแฮม เนื่องจากเบคแฮมมีประวัติศาสตร์และความผูกพันอันยาวนานกับสโมสรฟุตบอลแห่งนี้
นอกจากนี้ การที่เบคแฮมเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดตั้งกลุ่มการลงทุนก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้กลุ่มทุนกลุ่มนี้สามารถชนะการประมูลซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ไม่ยาก
นอกเหนือจากเบคแฮมแล้ว ยังมีกลุ่มทุนอีกหลายกลุ่มที่พยายามเจรจาซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากตระกูลเกลเซอร์ประกาศว่ากำลังพิจารณาขายสโมสรแห่งนี้ด้วยมูลค่าที่อาจจะสูงถึง 7 พันล้านปอนด์
แหล่งข่าวซึ่งเป็นนายธนาคารรายหนึ่งกล่าวว่า สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะถูกขายในราคาเกือบ 7 พันล้านปอนด์ และการที่หลายฝ่ายแย่งกันประมูลซื้อสโมสรแห่งนี้อาจจะทำให้ราคาถูกดันสูงขึ้นไปอีก อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านการระดมเงินทุนเพื่อซื้อทีมฟุตบอลบางรายกล่าวว่า ราคาขายที่ระดับ 4-5 พันล้านปอนด์ก็ถือว่าสูงเกินไปสำหรับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ไม่สามารถทำกำไรได้ในปีที่แล้ว
รายงานระบุว่า เซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทอินนิออส (Ineos) ซึ่งเป็นบริษัทเคมีรายใหญ่ระดับโลกเคยประกาศเมื่อปีที่แล้วว่า เขาสนใจซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่วนผู้ซื้อรายอื่น ๆ นั้น คาดว่าอาจรวมถึงนายจอช แฮร์ริส และนายเดวิด บลิทเซอร์ สองนักลงทุนรายใหญ่ และกลุ่มทุนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดยนายสตีเฟน แพกลิวคา เจ้าพ่อวงการฟุตบอล และนายแลรี์รี ทาเนนบวม ซึ่งเคยอยู่ในรายชื่อผู้ที่สนใจซื้อสโมสรฟุตบอลเชลซีในปีนี้
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (22 พ.ย.) สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดประกาศว่ากำลังเริ่มกระบวนการสำรวจทางเลือกเชิงกลยุทธ์ ซึ่งรวมถึงการหาผู้ลงทุนใหม่หรือขายสโมสร ซึ่งหากเกิดขึ้น ตระกูลเกลเซอร์ก็จะสิ้นสุดการเป็นเจ้าของสโมสรดังกล่าวเป็นระยะเวลา 17 ปี
ทั้งนี้ หลังจากการประกาศดังกล่าว ราคาหุ้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพุ่งขึ้นทันที 19% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันอังคาร (22 พ.ย.) ก่อนจะปิดตลาดเพิ่มขึ้น 15% แตะที่ 14.94 ดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดของหุ้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ วันอังคารอยู่ที่ 2.46 พันล้านดอลลาร์