ผลสำรวจล่าสุดจากอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (Economist Intelligence Unit - EIU) ระบุว่า นิวยอร์กและสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก
รายงาน "ค่าครองชีพทั่วโลก" (Worldwide Cost of Living Report) ซึ่งจัดทำโดย EIU ในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.ปี 2565 บ่งชี้ว่า ค่าครองชีพใน 172 เมืองขนาดใหญ่ทั่วโลกพุ่งขึ้นโดยเฉลี่ย 8.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 โดยนิวยอร์กและสิงคโปร์ครองอันดับ 1 ร่วมกัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ค่าครองชีพพุ่งขึ้นนั้น มาจากหลายปัจจัย รวมถึงสงครามในยูเครนและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
เทลอาวิฟ เมืองขนาดใหญ่ของอิสราเอลซึ่งเคยติดอันดับ 1 ของการมีค่าครองชีพสูงสุดในโลกเมื่อปี 2654 ได้หล่นมาอยู่ที่อันดับ 3 ในปีนี้ ขณะที่อันดับของฮ่องกงและนครลอสแอนเจลิสดีดตัวขึ้นมาอยู่บนท็อปไฟว์ของเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุด
อุปัสนา ดัตต์ หัวหน้าฝ่ายจัดทำรายงานค่าครองชีพทั่วโลกของ EIU กล่าวว่า "สงครามในยูเครน รวมทั้งการที่ชาติตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย และนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนได้ส่งผลให้เกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทาน จนเป็นเหตุให้เกิดวิกฤตค่าครองชีพทั่วโลก"
สำหรับ 10 อันดับเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกประจำปี 2565 มีดังนี้:
1. สิงคโปร์ และนครนิวยอร์กของสหรัฐ (ครองอันดับร่วมกัน)
2. (ไม่มีการจัดอันดับ)
3. เมืองเทลอาวิฟ ประเทศอิสราเอล
4. ฮ่องกง และเมืองลอสแอนเจลิสของสหรัฐ (ครองอันดับร่วมกัน)
5. (ไม่มีการจัดอันดับ)
6. เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
7. กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
8. เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐ
9. กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
10. เมืองโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก และเมืองซิดนีย์ของออสเตรเลีย (ครองอันดับร่วมกัน)
นอกจากนี้ ผลสำรวจของ EIU ยังเปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับอันดับค่าครองชีพของเมืองต่าง ๆ ดังนี้
- กรุงโตเกียวและโอซากาของญี่ปุ่นมีอันดับลดลงมาอยู่ที่ 24 และ 33 ตามลำดับ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับต่ำ
- กรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย และกรุงทริโปลี เมืองหลวงของลิเบีย ติดอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพถูกที่สุดในโลก
- เมืองซิดนีย์ของออสเตรเลียไต่ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 10 เนื่องจากการพุ่งขึ้นของยอดส่งออกทำให้สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น
- เมืองซานฟรานซิสโกของสหรัฐดีดขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 8 จากปีที่แล้วซึ่งอยู่ในอันดับที่ 24