สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์ แมนแซคส์ได้พยายามที่จะคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกไปจนถึงปี 2618 หรืออีก 53 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ได้ออกรายงานที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากในการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศในกลุ่ม BRIC ซึ่งประกอบด้วยบราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และจีน และในขณะนี้ ทีมนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งนำโดยนายแจน แฮตซิอุซ ก็ได้ขยายขอบเขตการคาดการณ์เศรษฐกิจให้ครอบคลุมถึง 104 ประเทศในช่วง 50 ปีข้างหน้า และได้สรุปการคาดการณ์ไว้ดังนี้:
- การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉลี่ยจะอยู่ต่ำกว่า 3% ต่อปีในช่วง 10 ปีข้างหน้า ลดลงจากระดับ 3.6% ในช่วง 10 ปีก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเงินโลก และหลังจากนั้นคาดว่า แนวโน้มเศรษฐกิจจะอยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะสะท้อนถึงการขยายตัวของกำลังแรงงานที่ชะลอลง
- ประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะยังคงปรับตัวตามกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม ขณะที่จีน สหรัฐ อินเดีย อินโดนีเซีย และเยอรมนี จะผงาดขึ้นเป็นกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเมื่อวัดมูลค่าในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ส่วนไนจีเรีย, ปากีสถาน และอียิปต์ ก็อาจจะติดกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดด้วยเช่นกัน
-- เศรษฐกิจสหรัฐไม่มีแนวโน้มที่จะหวนกลับไปแข็งแกร่งเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และคาดว่าความแข็งแกร่งอย่างมากของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะลดลงในช่วง 10 ปีข้างหน้า
-- ขณะที่ความไม่เท่าเทียมด้านรายได้ระหว่างประเทศต่าง ๆ ได้ลดน้อยลง แต่ความไม่เท่าเทียมดังกล่าวจะยังคงเพิ่มขึ้นภายในประเทศเหล่านั้น
นายเควิน ดาลี และนายทาดาส เกดมินาส นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า การกีดกันทางการค้า (Protectionism) และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ถือเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเสมอภาคด้านรายได้
"การคาดการณ์ของเราแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจโลกได้ผ่านช่วงเวลาของการเติบโตสูงสุดไปแล้ว และการชะลอตัวส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากจำนวนประชากร โดยการขยายตัวของจำนวนประชากรทั่วโลกได้ลดลงครึ่งหนึ่งในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา" นายดาลีและนายเกดมินาสระบุ
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ยังกล่าวว่า จำนวนประชากรที่ชะลอการขยายตัวนั้น "ถือเป็นข่าวดีในข่าวร้าย" เนื่องจากจะทำให้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมลดน้อยลง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การลดลงของจำนวนประชากรจะส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน ซึ่งรวมถึงการที่หลายประเทศอาจจะมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นสำหรับประชากรสูงวัย