นักลงทุนในตลาดการเงินทั่วโลกจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนพ.ย.ของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ (13 ธ.ค.) โดยดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค และเป็นข้อมูลสำคัญที่จะมีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยคณะกรรมการเฟดจะจัดการประชุมในวันอังคารที่ 13 ธ.ค. และจะแถลงมติการประชุมในวันพุธที่ 14 ธ.ค.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค.ตามเวลาไทย
นักวิเคราะห์หลายราย ซึ่งรวมถึงนักวิเคราะห์จากยูบีเอสและบาร์เคลย์สคาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ทั่วไปซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะขยายตัว 7.3% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี หลังจากที่มีการขยายตัว 7.7% ในเดือนต.ค. และหากเทียบเป็นรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไปจะปรับตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 6.1% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอลงจากเดือนต.ค.ที่มีการขยายตัว 6.3% และหากเทียบเป็นรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI จะปรับตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ปรับขึ้น 0.3% เช่นกันในเดือนต.ค.
นายคริส ซาร์คาเรลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุนของบริษัทอินดิเพนเดนท์ แอดไวเซอร์ อัลไลอันซ์ กล่าวว่า ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" ในปีนี้จะขึ้นอยู่กับตัวเลขดัชนี CPI ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันอังคารที่ 13 ธ.ค.
"มีแนวโน้มที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมสัปดาห์นี้ แต่แนวโน้มการเกิด 'ซานต้า แรลลี่' จะขึ้นอยู่กับว่าตัวเลข CPI จะออกมาต่ำกว่าคาดหรือไม่" นายซาร์คาเรลลีกล่าว
ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่ ซึ่งจากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471