กลุ่มเจ้าสัวจีนแห่ลงทุนสินทรัพย์ต่างชาติ หนีพิษเศรษฐกิจในประเทศ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงข้อมูลจากผู้จัดการกองทุนและอุตสาหกรรมการเงิน ระบุว่า กลุ่มเศรษฐีชาวจีนหันหลังให้กับการถือครองสินทรัพย์ในประเทศ และหันไปมองหาสินทรัพย์ในสหรัฐและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นกระแสที่จะมาแรงในปี 2566

ชาวจีนที่ร่ำรวยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการขาดทุน เริ่มมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มในประเทศที่ไม่แน่นอนและต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเนื่องมาจากโรคโควิด-19 รวมไปถึงผลกระทบต่อจีนในด้านการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากกรณีรัสเซียรุกรานยูเครน

อีกหนึ่งปัจจัยคือผลตอบแทนภายในประเทศที่ไม่สู้ดีนัก โดยข้อมูลจากยูเรกาเฮดจ์ (Eurekahedge) บริษัทวิเคราะห์ด้านเฮดจ์ฟันด์ เผยว่า เฮดจ์ฟันด์ที่มีแผนลงทุนในเกรทเทอร์ไชน่า ขาดทุน 12.9% ในปีนี้จนถึงสิ้นเดือนพ.ย. ซึ่งนับเป็นปีที่ทำผลตอบแทนได้ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2554

นอกจากนี้ กลุ่มเจ้าสัวจีนยังกังวลเกี่ยวกับนโยบายเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (common prosperity) ของปธน.สี จิ้นผิง ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ ทำให้คนกลุ่มนี้มองหาโอกาสในการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดและอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐและญี่ปุ่น

แม้ว่าการลงทุนนอกจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ชาวจีนผู้มั่งคั่งส่วนใหญ่มักลงทุนในสินทรัพย์ของจีน เช่น หลักทรัพย์ของจีนที่จดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ

นายเจสัน สฺหวี ผู้ก่อตั้งและประธานของเรย์เลียนท์ โกลบอล แอดไวเซอร์ส (Rayliant Global Advisors) บริษัทด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ เผยว่าก่อนหน้านี้กลุ่มคนรวยชาวจีนจะไม่ซื้อหุ้นสหรัฐหริอซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

นายสฺหวีกล่าวอีกว่า ผู้จัดการด้านสินทรัพย์ในบอสตันได้รับคำร้องมากมายจากสำนักงานครอบครัวชาวจีนในเกรทเทอร์ไชน่าที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐและกฎระเบียบด้านการลงทุนในสหรัฐ