นายแพทริก เกลซิงเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทอินเทลให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอังคาร (17 ม.ค.) ว่า การเมืองโลกในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้าจะถูกครอบงำโดยความพร้อม, การค้า และการลงทุนในไมโครชิป
ทั้งนี้ นายเกลซิงเกอร์ให้สัมภาษณ์กับนางจูเลีย แชตเทอร์ลีย์ ผู้ประกาศข่าวของซีเอ็นเอ็นที่การประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า ตำแหน่งที่ตั้งของแหล่งน้ำมันเป็นตัวกำหนดทิศทางภูมิรัฐศาสตร์ตลอดช่วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ตำแหน่งที่ตั้งห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีและแหล่งผลิตเซมิคอนดักเตอร์จะมีความสำคัญมากกว่าน้ำมันในช่วง 5 ทศวรรษข้างหน้า
นายเกลซิงเกอร์ระบุว่า การที่อินเทลลงทุนสร้างโรงงานผลิตใหม่ในสหรัฐ, ยุโรป และพื้นที่อื่น ๆ นั้น ไม่เพียงสำคัญต่ออนาคตของบริษัทเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อระบบโลกาภิวัตน์ของทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของโลกในอนาคต
"เราต้องการให้ห่วงโซ่อุปทานชิปมีความสมดุลและคล่องตัวในเชิงภูมิศาสตร์" นายเกลซิงเกอร์กล่าว
อินเทลประกาศในปีที่ผ่านมาว่า จะทุ่มเม็ดเงินลงทุน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในการก่อสร้างโรงงานผลิตชิปใหม่ 2 แห่งในสหรัฐ และทุ่มเม็ดเงินอีก 9 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานใหม่ในยุโรป โดยมุ่งมั่นที่จะตอกย้ำสถานะความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์
คำประกาศดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการพึ่งพาการผลิตชิปในเอเชียเป็นหลักโดยเฉพาะจีนและไต้หวัน ในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดและความตึงเครียดทางการเมืองทวีความร้อนแรงขึ้น โดยปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานชิปตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและการส่งมอบสินค้าล่าช้า ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ไปจนถึง iPhone และรถยนต์