สภาหอการค้าแห่งสหรัฐและสภาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศได้เรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยกเลิกกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน หลังรัฐบาลไบเดนเตรียมขยายเวลาบังคับใช้นโยบายกำแพงภาษีดังกล่าว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กำแพงภาษีดังกล่าวเกิดขึ้นในสมัยของรัฐบาลอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ หลังผลการสืบสวนพบว่า จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากบริษัทอเมริกันและบังคับให้บริษัทเหล่านั้นต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีน
ทั้งนี้ ข้อมูลความเห็นจากธุรกิจขนาดเล็กหลายแห่งในสหรัฐที่ยื่นเสนอต่อสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ระบุว่า อัตราภาษีศุลกากรดังกล่าวทำให้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี แทบไม่มีสัญญาณบ่งชี้จากทำเนียบขาวว่าจะมีการยกเลิกหรือผ่อนปรนกำแพงภาษีดังกล่าว เนื่องจากปธน.ไบเดนยังคงเก็บไว้ใช้เป็นอำนาจต่อรองกับรัฐบาลจีน ซึ่งสหรัฐมองว่าจีนเป็นคู่แข่งสำคัญทางยุทธศาสตร์และทางเศรษฐกิจ และเป็นที่กังวลกันว่าการยกเลิกภาษีดังกล่าวอาจเป็นความเสี่ยงทางการเมืองได้
นอกจากจะใช้กำแพงภาษีแล้ว เครื่องมือทางการค้าที่สหรัฐใช้ตอบโต้รัฐบาลจีนยังรวมถึงการให้เงินอุดหนุนแก่บริษัทอเมริกัน และมาตรการควบคุมการส่งออกเพื่อจำกัดไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของสหรัฐ
อนึ่ง หน่วยงานศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐประมาณการไว้ว่า ตั้งแต่เริ่มบังคับใช้ในปี 2561 จนถึงวันที่ 18 ม.ค. กำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสร้างรายได้ให้รัฐบาลสหรัฐ 1.678 แสนล้านดอลลาร์