บริษัทเทสลา อิงค์ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2565 ที่ระดับ 1.19 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ของของรีฟินิทิฟ (Refinitiv) คาดไว้ที่ 1.13 ดอลลาร์ และรายได้โดยรวมอยู่ที่ 2.432 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.416 หมื่นล้านดอลลาร์
รายได้จากธุรกิจยานยนต์ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 2.13 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) จากธุรกิจยานยนต์อยู่ที่ระดับ 25.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ไตรมาส และกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงานลดลง 29% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 3.28 พันล้านดอลลาร์
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ในช่วงปลายปี 2565 และต้นปี 2566 เทสลาได้ปรับลดราคารถยนต์ทั่วโลก ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าในสหรัฐและจีนที่ซื้อรถยนต์คันใหม่ของเทสลาในราคาที่สูงกว่าไปก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลากล่าวกับบรรดาผู้ถือหุ้นและนักวิเคราะห์ในงานแถลงผลประกอบการในวันพุธ (25 ม.ค.) ว่า การปรับลดราคาทำให้ความต้องการรถยนต์ของเทสลาปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยนับจนถึงเดือนม.ค.ปีนี้ เทสลาได้รับคำสั่งซื้อมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และขณะนี้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อมากกว่าอัตราการผลิตถึง 2 เท่า" นายมัสก์กล่าว
ในระหว่างการแถลงครั้งนี้ มีนักวิเคราะห์รายหนึ่งตั้งคำถามกับนายมัสก์ว่า เพราะเหตุใดเทสลาจึงออกรายงานคาดการณ์ว่าจะสามารถผลิตรถยนต์ได้เพียง 1.8 ล้านคันในปี 2566 ทั้ง ๆ ที่บริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานแห่งใหม่หลายแห่ง
นายมัสก์ตอบว่า "เราตั้งตัวเลขคาดการณ์การผลิตไว้ที่ 1.8 ล้านคันก็เพราะว่าเราเคยเผชิญกับสถานการณ์สุดวิสัยในบางครั้ง ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้เช่นแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิ สงคราม และโรคระบาด หากปีนี้สถานการณ์เป็นไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีปัญหาห่วงโซ่อุปทานหรือปัญหาใหญ่เข้ามากระทบ ผมก็เชื่อว่าเราจะสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 2 ล้านคันในปีนี้ และคิดว่าการผลิตของเราจะสอดคล้องกับอุปสงค์ในปีนี้เช่นกัน"
ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของนายมัสก์เป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นเทสลาพุ่งขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วงเช้านี้