สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์รายงานว่า ฟิลิปปินส์กำลังเผชิญภาวะขาดแคลนหัวหอมอย่างรุนแรง ส่งผลให้ราคาหัวหอมพุ่งขึ้นสูงถึง 700 เปโซต่อกิโลกรัม (12.80 ดอลลาร์) หรือประมาณ 421.22 บาทในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ราคาหัวหอมในฟิลิปปินส์ขณะนี้สูงกว่าราคาเนื้อสัตว์ และสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำรายวันของประเทศ ซึ่งบ่งชี้ว่าฟิลิปปินส์กำลังเผชิญกับวิกฤตค่าครองชีพอย่างหนัก
ริซาลดา มอเนส หญิงชาวฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นเจ้าของร้านพิซซ่าในเมืองเซบูเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวบีบีซีว่า "ร้านอาหารทุกแห่งในฟิลิปปินส์ติดป้ายแจ้งให้ลูกค้าทราบว่า 'ร้านนี้ไม่มีหัวหอมเป็นเครื่องเคียง' เมื่อก่อนเราเคยซื้อหัวหอมแดงได้วันละ 3-4 กิโลกรัม แต่ตอนนี้เราซื้อได้แค่วันละครึ่งกิโลกรัมเท่านั้น ลูกค้าของเราก็เข้าใจดี เพราะเรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่ในร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังกระทบไปถึงภาคครัวเรือนที่เผชิญกับความยากลำบากในการหาหัวหอมมาเป็นเครื่องปรุงในอาหาร"
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า หัวหอมซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหารของชาวฟิลิปปินส์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของค่าครองชีพที่สูงขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 14 ปีในเดือนธ.ค. เนื่องจากราคาสินค้าทุกประเภทปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่อาหารไปจนถึงเชื้อเพลิง
ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ผู้นำฟิลิปปินส์ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรด้วยนั้นระบุว่า การพุ่งขึ้นของราคาอาหารถือเป็น "สถานการณ์ฉุกเฉิน" และในช่วงต้นเดือนม.ค. ปธน.มาร์กอส จูเนียร์ ได้อนุมัติการนำเข้าหัวหอมแดงและหัวหอมเหลือง (หัวหอมใหญ่) เพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าดังกล่าวในตลาด
นิโคลาส มาปา นักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็นจี แบงก์กล่าวว่า การเปิดประเทศของฟิลิปปินส์ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อุปสงค์พุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ สภาพอากาศที่เลวร้ายยังส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหาร
""ย้อนไปในเดือนส.ค.ปีที่แล้ว กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนหัวหอม และจากนั้นต่อมาไม่กี่เดือน ฟิลิปปินส์ก็ถูกกระทบจากพายุโหมกระหน่ำ 2 ลูก ซึ่งสร้างความเสียหายต่อพืชผล นอกจากนี้ เราคาดว่าอุปสงค์ในประเทศจะปรับตัวขึ้นอีก เนื่องจากเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ฟื้นตัวขึ้นอย่างมาก" นายมาปากล่าว