ธนาคารเอสวีบี ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (SVB Financial Group) ซึ่งเป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและมุ่งเน้นกลุ่มสตาร์ทอัป ประกาศขายสินทรัพย์และขายหุ้นมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายที่จะพยุงงบดุลบัญชีของธนาคาร เนื่องจากยอดเงินฝากจากบรรดาสตาร์ทอัปปรับตัวลงอย่างมาก
นอกจากนี้ เอสวีบียังได้ปรับลดคาดการณ์รายได้ในปีงบการเงิน 2566 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อธนาคารและบรรดาลูกค้าของธนาคาร
ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กปั่นป่วนอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (9 มี.ค.) และได้ฉุดราคาหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงถ้วนหน้า ซึ่งรวมถึงหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 2.06% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ดิ่งลง 6.18% หุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 5.41% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 6.02% ส่วนหุ้นเอสวีบีนั้น ทรุดตัวลงรุนแรงถึง 60%
รายงานระบุว่า เอสวีบีปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น และรับฝากเงินของบริษัทเทคโนโลยีรวมทั้งสตาร์ทอัปเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐในปี 2565
นายเกร็ก เบคเกอร์ ซีอีโอของเอสวีบีระบุในจดหมายที่ส่งถึงนักลงทุนว่า ลูกค้าของธนาคารประสบปัญหาขาดแคลนเงินสดหมุนเวียนในเดือนก.พ. ซึ่งส่งผลให้เงินฝากธนาคารลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับต้นทุนด้านการลงทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันรายได้ของธนาคารและลูกค้าของธนาคาร
นายเบคเกอร์กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เอสวีบีต้องหาทางระดมเงินทุนให้ได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์ โดยระดมจากบริษัทเจเนอรัล แอตแลนติก ซึ่งเป็นบริษัทหุ้นนอกตลาด (ไพรเวทอิควิตี้) จำนวน 500 ล้านดอลลาร์ และระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนจำนวน 1.75 พันล้านดอลลาร์
ทางด้านเอสแอนด์พีได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของเอสวีบีลงสู่ระดับ BBB- จากระดับ BBB โดยระดับ BBB- นั้นสูงกว่าระดับขยะเพียง 1 ขั้นเท่านั้น ขณะที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของเอสวีบีลงสู่ระดับ Baa1 จากระดับ A3 โดยระบุถึงภาวะถดถอยด้านเงินทุน สภาพคล่อง และความสามารถในการทำกำไรของเอสวีบี