การล้มละลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank - SVB) ซึ่งถือเป็นกรณีธนาคารล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี 2551 นั้น มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจาก SVB ถือเป็นผู้สนับสนุนหลักของบรรดาสตาร์ตอัปและกองทุนร่วมทุนจำนวนมากทั่วโลก
นายแดน อีฟส์ นักวิเคราะห์จากเวดบุช ซีเคียวริตีส์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนของสหรัฐระบุว่า "SVB เป็นเจ้าพ่อแห่งระบบนิเวศการธนาคารในซิลิคอน วัลเลย์ในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาในโลกเทคโนโลยี เราเชื่อว่าผลกระทบด้านลบของการล่มสลายครั้งประวัติศาสตร์นี้จะมีความหมายอย่างมากสำหรับโลกเทคโนโลยีในอนาคต"
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การล่มสลายของ SVB เริ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังธนาคารประกาศว่ามีความจำเป็นที่จะต้องระดมทุนเพิ่ม 2.25 พันล้านดอลลาร์ เพื่อนำมาใช้ในการพยุงงบดุล ขณะที่กลุ่มธุรกิจร่วมลงทุน (Venture Capital) สั่งการให้บรรดาบริษัทที่อยู่ในพอร์ตลงทุนทำการถอนเงินออกจาก SVB และลูกค้ารายอื่น ๆ ได้พากันไปถอนเงินสด จนนำไปสู่การแห่ถอนเงิน (bank run) ในที่สุด
ขณะเดียวกัน SVB ก็ขาดแคลนเงินทุนจนต้องขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ธนาคารถือครองไว้ในราคาที่ขาดทุนถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์
หน่วยงานกำกับดูแลด้านกฎระเบียบของสหรัฐสั่งปิด SVB ในวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. พร้อมยึดเงินฝากทั้งหมด จากนั้นหน่วยงานกำกับดูแลได้เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (12 มี.ค.) ว่า ผู้ฝากเงินที่ SVB สามารถเข้าถึงเงินฝากของพวกเขาได้เพื่อหวังหยุดการแห่ถอนเงิน
ทั้งนี้ นักลงทุนและนักวิเคราะห์ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีระบุว่า อาจเกิดผลกระทบต่อโลกเทคโนโลยีได้หลายด้าน ตั้งแต่การทำให้สตาร์ตอัประดมทุนได้ยากขึ้น ไปจนถึงการบังคับให้บริษัทต่าง ๆ ต้องเปลี่ยนแปลงแบบจำลองทางธุรกิจ