สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า เป็นเรื่องยากที่จะประเมินความเสียหายล่วงหน้า หากเกิดกรณีธุรกิจเครดิต สวิสล้ม โดยธนาคารแห่งนี้มีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์และมีพนักงานกว่า 50,000 รายทั่วโลก
แต่การล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank) จากสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลก แม้จะเป็นธนาคารที่มีขนาดเล็กกว่าเครดิต สวิสอย่างมาก
นายแอนดรูว์ เคนนิงแฮม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำยุโรปของบริษัทแคปิตอล อีโคโนมิกส์ (Capital Economics) ระบุว่า เครดิต สวิส ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารรายใหญ่ที่สุดของยุโรป "มีความเชื่อมโยงในระดับโลกมากกว่า SVB และซิกเนเจอร์ แบงก์อย่างมาก โดยมีสาขานอกสวิตเซอร์แลนด์มากมาย ซึ่งรวมถึงในสหรัฐ"
"เครดิต สวิสไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของสวิตเซอร์แลนด์ แต่เป็นปัญหาระดับโลก" นายเคนนิงแฮมกล่าว
เครดิต สวิสเป็นที่รู้จักในฐานะ "ธนาคารที่มีความสำคัญในเชิงระบบระดับโลก" (G-SIB)
เมื่อธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งประสบปัญหา ผู้คนต่างก็เริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในระบบธนาคารและสงสัยว่าธนาคารแห่งใดจะเผชิญวิกฤตเป็นรายต่อไป
แม้ได้รับเงินช่วยชีวิตจากรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ แต่ยังคงมีความเสี่ยงและผลกระทบที่คาดไม่ถึงจากเครดิต สวิสอีกมาก ส่งผลให้นักลงทุนต้องระมัดระวังตัว
นายอาร์เธอร์ วิลมาร์ธ อาจารย์ประจำสถาบันกฎหมายจอร์จ วอชิงตันระบุว่า ภาวะปั่นป่วนของเครดิต สวิสบ่งชี้ว่า วิกฤตครั้งนี้ยังไม่อยู่ภายใต้การควบคุม
"ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสาที่คนส่วนใหญ่คิดว่าสามารถควบคุมวิกฤตได้ด้วยการจัดการธนาคารระดับภูมิภาคสองแห่ง แต่เห็นได้ชัดว่าขณะนี้ยังคงมีภาวะตื่นตระหนกอยู่ภายในระบบธนาคารของเรา ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจกระจายไปยังธนาคารที่มีขนาดใหญ่มาก"