สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) ว่า การไหลออกของเงินฝากซึ่งทำให้ธนาคารในภูมิภาคหลายแห่งเกิดความวุ่นวายนั้น ขณะนี้เริ่มชะลอตัวลงแล้วและในบางแห่งมีการฝากเงินกลับคืน โดยการไหลออกของเงินฝากดังกล่าวมีขึ้นหลังจากการล้มละลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB)
หุ้นของธนาคารในภูมิภาคหลายแห่งร่วงลง อาทิ ธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) ธนาคารแพคเวสต์ แบนคอร์ป (PacWest Bancorp) และธนาคารเวสเทิร์น อลิอันซ์ แบนคอร์ป (Western Alliance Bancorp) ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วิกฤตระบบธนาคารเริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ด้วยการล่มสลายของธนาคารซิลเวอร์เกต แคปิตอล คอร์ป (Silvergate Capital Corp) และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐเข้าควบคุมธนาคาร SVB และธนาคารซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank)
แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เงินฝากในระบบธนาคารของประเทศมีเสถียรภาพและธนาคารสหรัฐมีความเสี่ยงน้อยต่อกรณีวิกฤตของธนาคารเครดิต สวิส (Credit Suisse) ก่อนที่ธนาคารยูบีเอส (UBS) ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ เข้าซื้อกิจการเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.)
ธนาคารในภูมิภาคหลายแห่งยังกล่าวว่าฐานเงินฝากมีเสถียรภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ธนาคารบางแห่งรวมถึงธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค และธนาคารแพคเวสต์ พยายามระดุมทุนเป็นการส่วนตัว แต่ไม่ประสบความสำเร็จจนถึงในขณะนี้ ท่ามกลางกระแสกังวลของบริษัทต่าง ๆ และบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ เกี่ยวกับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในพอร์ตการลงทุนและบัญชีสินเชื่อ
ด้านนายมาร์ค แชนด์เลอร์ หัวหน้านักวิเคราะห์การตลาดของแบนน็อคเบิร์น โกลบอล ฟอเร็กซ์ (Bannockburn Global Forex) บริษัทซื้อขายหลักทรัพย์ในนิวยอร์ก ให้ความเห็นว่า ธนาคารในภูมิภาคได้รับแรงกดดัน เนื่องจากมีความพร้อมน้อยกว่าในการรับมือกระแสการถอนเงินฝาก ซึ่งแตกต่างไปจากธนาคารรายใหญ่ ๆ