นายบิล แอคแมน มหาเศรษฐีนักลงทุนและผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Pershing Square แสดงความเห็นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้ เนื่องจากวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารได้รับผลกระทบหนักอยู่แล้วจากการที่เฟดดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงิน
นายแอคแมนทวีตข้อความระบุว่า "เราเผชิญกับวิกฤตการณ์รุนแรงในภาคธนาคารมากพอแล้ว ซึ่งรวมถึงธนาคารสหรัฐ 3 แห่งถูกปิดกิจการ, ปัญหาสภาพคล่องที่เกิดขึ้นกับธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank - FRB) และการที่ธนาคารเครดิต สวิส ถูกเทกโอเวอร์กิจการ"
จากนั้นไม่นาน นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัทเทสลา ได้ทวีตข้อความตอบนายแอคแมนว่า เฟดควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมวันพุธนี้ (22 มี.ค.) ซึ่งเป็นการตอกย้ำจุดยืนของนายมัสก์ หลังจากที่เขาได้ออกมาเรียกร้องให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า เฟดดำเนินนโยบายการเงินโดยพึ่งพาข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับมามากเกินไป โดยไม่พิจารณาถึงวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคธนาคารในขณะนี้
"เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักลงทุนที่ได้รับความเสียหายจากการล้มละลายของสถาบันการเงินเหล่านี้จะเป็นอย่างไร และผลกระทบนี้จะลุกลามไปถึงไหนบ้าง นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดควรออกมาสร้างความชัดเจนว่า จะหยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยไว้ชั่วคราว หรือไม่ก็ส่งสัญญาณว่า เขามีความตั้งใจที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไป นอกเสียจากว่าวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารจะยังไม่คลี่คลายลง" นายแอคแมนระบุผ่านทวิตเตอร์
"นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เฟดควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มแรงกดดันให้กับระบบการเงิน เพราะการสร้างเสถียรภาพด้านการเงินนั้นเป็นหน้าที่ที่เฟดจะต้องรับผิดชอบเป็นลำดับแรก" นายแอคแมนกล่าวพร้อมกับแท็กบัญชีทวิตเตอร์ @federalreserve ซึ่งเป็นของเฟด