นายนีล แคชแครี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขามินเนอาโพลิสเปิดเผยว่า วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคธนาคารของสหรัฐและความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะสินเชื่อตึงตัวตามมานั้น อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะถดถอย
"วิกฤตการณ์นี้จะทำให้สหรัฐเข้าใกล้ภาวะถดถอยมากขึ้น เรากำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินว่าวิกฤการณ์ในระบบธนาคารจะลุกลามจนทำให้เกิดภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อหรือไม่ และภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากเพียงใด" นายแคชคารีกล่าวในรายการ "Face the Nation" ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส
นายแคชแครี ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดที่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสามารถประเมินขนาดของผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารครั้งนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าวิกฤตการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อการตัดสินใจเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) หรือไม่
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ส่งสัญญาณใกล้ยุติวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อจนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการผลกระทบที่เกิดจากการล้มละลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และธนาคารซิกเนเจอร์ แบงก์ (SB)
ทางด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวว่า เม็ดเงินฝากในระบบธนาคารของสหรัฐยังคงมีเสถียรภาพในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเกิดวิกฤตการณ์แห่ถอนเงินจากธนาคาร SVB จนเป็นเหตุให้ธนาคารแห่งนี้ล้มละลาย และทำให้หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหรัฐต้องใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูระบบธนาคาร