สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์สรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวเมื่อวันอังคาร (28 มี.ค.) ว่า นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคจะขึ้นเบิกความต่อศาลสหรัฐ เกี่ยวกับการที่เจพีมอร์แกนตัดสินใจรับนายเจฟฟรี เอปสตีน จำเลยคดีล่วงละเมิดทางเพศผู้ล่วงลับ เป็นลูกค้า
ขณะที่ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจพีมอร์แกนยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวดังกล่าว
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังผู้พิพากษาสหรัฐระบุเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เจพีมอร์แกนและดอยซ์แบงก์ต้องเผชิญคดีความ โดยกล่าวหาว่าบริษัททั้งสองแห่งเอื้อให้นายเอปสตีนทำการค้ามนุษย์
แหล่งข่าวระบุว่า ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่านายไดมอนเคยติดต่อกับนายเอปสตีนโดยตรง หรือเข้าร่วมการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการพิจารณารับนายเอปสตีนเอาไว้เป็นลูกค้าของเจพีมอร์แกน
ทั้งนี้ นายเอปสตีนนั้นได้กระทำการอัตวินิบาตกรรมด้วยการแขวนคอตนเองในเรือนจำแมนฮัตตันเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2562 เพื่อหนีคดีที่เขาตกเป็นจำเลยในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี และข้อหาค้ามนุษย์
ข่าวอื้อฉาวของนายเอปสตีนได้กลายเป็นที่สนใจ นับตั้งแต่สื่อตีข่าวเมื่อเดือนส.ค. 2562 ว่า เจ้าชายแอนดรูว์ โอรสองค์ที่สองของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีทางเพศที่นายเอปสตีนถูกกล่าวหา และต่อมาในเดือนพ.ค. 2564 สื่อรายงานว่า นางเมลินดา เกตส์ได้ประกาศหย่าร้างอย่างเป็นทางการกับนายบิล เกตส์ โดยสาเหุตส่วนหนึ่งมาจากข้อกังวลที่ว่า สามีของเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายเอปสตีน