ธนาคารโลกเปิดเผยว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมียนมายังคงปรับตัวลดลงอย่างหนัก และคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเพิ่มขึ้นเพียง 3% ในปีงบประมาณ จนถึงเดือนก.ย. ขณะที่ประเทศยังคงพัวพันกับความขัดแย้ง 2 ปีหลังจากกองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารและยึดอำนาจการปกครอง
ธนาคารโลกระบุในรายงานระดับภูมิภาคว่า ความรุนแรงเป็นวงกว้าง ตลอดจนการขาดแคลนพลังงานที่ย่ำแย่ลง และความล้มเหลวของนโยบาย จะทำลายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่ร่อแร่จากความวุ่นวายทางการเมืองและสังคม
รายงานระบุว่า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจไม่น่าจะดีขึ้นมากนัก อีกทั้งจะยังคงมีปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้า การหยุดชะงักของการขนส่ง ข้อจำกัดทางการค้าและการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบต่าง ๆ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อปี 2564 กองทัพเมียนมาขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก่อให้เกิดความโกลาหล ขณะที่การปราบปรามผู้เห็นต่างของกองทัพและการลุกฮือต่อต้านจากกลุ่มติดอาวุธที่ตามมาส่งผลให้บริษัทต่างชาติถอนตัว เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเมือง การคว่ำบาตร และความเสียหายต่อชื่อเสียงของบริษัท
ธนาคารโลกกล่าวว่า ผลผลิตทางเศรษฐกิจของเมียนมาจะยังคงต่ำกว่าระดับของปี 2562 แม้ว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่เหลือจะฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ตาม
ทั้งนี้ GDP ของเมียนมาหดตัวประมาณ 18% ในปี 2564 ก่อนที่จะเติบโต 3% ในปี 2565