นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกนเปิดเผยกับกลุ่มนักวิเคราะห์ว่า วิกฤตการณ์ซึ่งเป็นเหตุให้ธนาคารระดับภูมิภาค 3 แห่งของสหรัฐล่มสลายลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากเจพีมอร์แกนได้ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ ธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (FRB)
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า สำนักงานคุ้มครองการเงินและนวัตกรรมแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (DFPI) ได้สั่งปิดกิจการ FRB ในวันจันทร์ (1 พ.ค.) และต่อมาบรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ได้เข้าควบคุมกิจการของ FRB จากนั้นได้เปิดการประมูลขายกิจการ FRB ซึ่งธนาคารเจพีมอร์แกนชนะการประมูล และครอบครองสินทรัพย์เกือบทั้งหมดของ FRB รวมทั้งเงินฝาก
ภายใต้ข้อตกลงครั้งนี้ เจพีมอร์แกนได้เข้าครอบครองเงินฝาก 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์ของ FRB รวมถึงเงินกู้อีก 1.73 แสนล้านดอลลาร์ และหลักทรัพย์ 3 หมื่นล้านดอลลาร์
"มีความเป็นไปได้ว่าธนาคารหลายแห่งอาจจะเผชิญปัญหาสภาพคล่องในลักษณะนี้ และอาจจะมีธนาคารขนาดเล็กที่ประสบปัญหา แต่ผมมองว่า การที่เจพีมอร์แกนซื้อกิจการ FRB จะทำให้วิกฤตการณ์ในภาคธนาคารคลี่คลายลงเกือบทั้งหมด" นายไดมอนกล่าวกับที่ประชุมนักวิเคราะห์ ไม่นานหลังจากเจพีมอร์แกนตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ FRB
อย่างไรก็ดี ข่าวดังกล่าวส่งผลหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐร่วงลงอย่างหนักในวันจันทร์ (1 พ.ค.) และได้ฉุดดัชนี KBW Regional Banking Index ร่วงลง 2.7% โดยหุ้นซิติเซนส์ ไฟแนนเชียล คอร์ป ร่วงลง 6.85% หุ้นพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กรุ๊ป ดิ่งลง 6.33% หุ้นทรูอิสต์ ไฟแนนเชียล คอร์ป ร่วงลง 3.22% หุ้นยูเอส แบงคอร์ป ร่วงลง 3.91% หุ้นแวลลีย์ เนชันแนล แบงคอร์ป ทรุดตัวลง 19.72%
ทั้งนี้ FRB กลายเป็นศูนย์กลางของวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐตั้งแต่เดือนมี.ค. หลังจากลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารเริ่มถอนเงินออกจากธนาคาร จนเป็นเหตุให้ FRB เผชิญปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง
เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารรายใหญ่ในวอลล์สตรีท 11 แห่ง ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน, ซิตี้กรุ๊ป และโกลด์แมน แซคส์ ประกาศอัดฉีดเงินรวมกันมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ FRB แต่สถานะทางการเงินของ FRB ก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น โดยล่าสุด FRB เปิดเผยว่า ลูกค้าถอนเงินออกจากธนาคารจำนวนมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1/2566