บริษัทฟอร์ด มอเตอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 20% ในไตรมาส 1/2566 เนื่องจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานผ่อนคลายลง ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ (เอสยูวี) และรถกระบะได้มากพอที่จะตอบสนองยอดสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าได้ ทั้งนี้ กำไรในไตรมาส 1 ปีนี้อยู่ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 44 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นการพลิกทำกำไรหลังจากที่ขาดทุน 3.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 78 เซนต์ต่อหุ้นในไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ส่วนรายได้อยู่ที่ 4.15 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ฟอร์ดได้คงตัวเลขคาดการณ์กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ในปีงบการเงิน 2566 เอาไว้ที่ 9 พันล้านดอลลาร์ถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และกระแสเงินสดหมุนเวียนที่ระดับ 6 พันล้านดอลลาร์
นายจอห์น ลอว์เลอร์ ประธานเจ้าหน้าบริหารด้านการเงิน (ซีเอฟโอ) ของฟอร์ดกล่าวว่า บริษัทมีความมั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายการทำกำไรจากรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Model E ภายในสิ้นปี 2567