ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยผลสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อ (Senior Loan Officer Opinion Survey - SLOOS) โดยระบุว่า ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐได้เพิ่มมาตรฐานการปล่อยกู้ที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วงต้นปีนี้ ขณะที่ความต้องการเงินกู้ของภาคธุรกิจและผู้บริโภคชะลอตัวลง ซึ่งรายงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการเงินของสหรัฐ
ทั้งนี้ รายงาน SLOOS ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรวัดความเชื่อมั่นในภาคธนาคารนับตั้งแต่การล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และซิกเนเจอร์ แบงก์ (SB) นั้น บ่งชี้ว่า ธนาคาร 46% เพิ่มมาตรฐานการปล่อยกู้ที่เข้มงวดมากขึ้นกับภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับ 44.8% ในผลสำรวจครั้งก่อนในเดือนม.ค.
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า ปัญหาที่เกิดกับธนาคารขนาดกลางทำให้ธนาคารต่าง ๆ คุมเข้มมาตรฐานการปล่อยเงินกู้ให้กับทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
ธนาคารต่าง ๆ เพิ่มมาตรฐานการปล่อยกู้ที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับสินเชื่อเพื่อการค้าและอุตสาหกรรม รวมถึงสินเชื่อภาคครัวเรือน อาทิ สินเชื่อจำนอง, สินเชื่อที่อยู่อาศัย (home equity lines of credit) และบัตรเครดิต
ส่วนในฝั่งผู้บริโภคนั้น ผลสำรวจระบุว่าธนาคารส่วนใหญ่มองว่าความต้องการบัตรเครดิต สินเชื่อเพื่อการซื้อรถยนต์และสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ปรับตัวลง แม้ไม่ลดลงรุนแรงเท่ากับในปีที่แล้วก็ตาม
ทั้งนี้ ธนาคารส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ปัญหาต่าง ๆ จะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปีหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการคาดการณ์เชิงลบเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับเม็ดเงินฝากไหลออก และการยอมรับความเสี่ยงได้น้อยลง
นอกจากนี้ เกือบครึ่งหนึ่งของธนาคารที่เข้าร่วมการสำรวจมองว่า ปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐถือเป็นความเสี่ยงสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ความวิตกกังวลอันดับหนึ่งเหมือนเมื่อครั้งที่มีการสำรวจในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ขณะเดียวกันธนาคารกว่า 50% มองว่าความตึงเครียดในภาคธนาคารถือเป็นความเสี่ยง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 12% จากผลสำรวจในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว