องค์กรสิ่งแวดล้อมกรีนพีซเปิดเผยผ่านรายงานว่า จีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้หันเหทิศทางมายังรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างรวดเร็ว และทำให้เหล่าผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ เผชิญความเสี่ยงที่ยอดขายจะลดลงหากไม่มีการปรับตัวตาม
กรีนพีซระบุว่า โฟล์คสวาเกน เอจี บริษัทผลิตรถยนต์ของเยอรมนี อาจสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์จีน 3-7 จุดเปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2573 ขณะที่เจเนอรัล มอเตอร์ มีแนวโน้มว่า สัดส่วนจะลดลง 3-6 จุดเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลเสื่อมความนิยมลง โดยบริษัทเหล่านี้มีสัดส่วนรวมกันคิดเป็น 30% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในจีนตั้งแต่ปี 2562-2564 ขณะที่บริษัทต่าง ๆ ของจีนที่มุ่งเน้นรถ EV มากกว่าเริ่มมีแนวโน้มว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น
นายเป่า หัง นักรณรงค์ของกรีนพีซประจำเอเชียตะวันออกกล่าวว่า "ยุคสมัยของรถยนต์พลังงานเบนซินและดีเซลกำลังจะสิ้นสุดลง และยอดขายรถยนต์ EV จะเฟื่องฟู การเปลี่ยนไปจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ในตลาดรถยนต์จีน"
จีนมีสัดส่วนในตลาดรถยนต์ EV ทั่วโลกเกินครึ่ง และบลูมเบิร์กเอ็นอีเอฟ (BloombergNEF) คาดว่าจะมีผู้ขับขี่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าราว 8 ล้านคันในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 6 ล้านคันเมื่อปีที่แล้ว
กรีนพีซกล่าวว่า บรรดาผู้ผลิตรถยนต์จีนในแบบสำรวจระบุว่า มีกำลังการผลิตอย่างน้อย 30% สำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ นำโดย บริษัทบีวายดีที่มีกำลังการผลิต 100% ขึ้นแท่นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดของจีนในไตรมาสแรกแซงหน้าโฟล์คสวาเกน ในทางกลับกัน ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากต่างประเทศล้วนมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 30% หรือต่ำกว่าทั้งสิ้น หากพวกเขาไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงสายการผลิตของโรงงานไปสู่รถยนต์พลังงานใหม่ พวกเขาอาจเหลือกำลังการผลิตที่ไม่ได้ใช้จำนวนมากในอีกหลายปีข้างหน้า
ทั้งนี้ มาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดยิ่งขึ้นซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. อาจทำให้ผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่ายมีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานหลงเหลือหลายหมื่นคัน ซึ่งสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตรถยนต์รุ่นเก่าต้องล้างสต๊อกให้หมด