สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นักลงทุนวิตกว่าปัญหาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลผสมฝ่ายประชาธิปไตยของไทย จะทำให้สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองยืดเยื้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดต่าง ๆ ของไทย
ทั้งนี้ บรรดานักลงทุนต่างชาติวิตกกังวลเกี่ยวกับความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ส่งผลให้แห่เทขายหุ้นและตราสารหนี้สกุลเงินบาท โดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยระบุว่า กองทุนต่างชาติได้เทขายสุทธิตราสารหนี้ไทยเป็นเงิน 492 ล้านดอลลาร์เมื่อวันพุธ (17 พ.ค.) ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2559
นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังได้เทขายสุทธิหุ้นไทยเป็นเงิน 183 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 3 วัน (15-17 พ.ค.)
เงินบาทไทยอ่อนค่าลงติดต่อกัน 3 วันนับตั้งแต่วันอังคาร (16 พ.ค.) โดยร่วงลง 1.6% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหักล้างกับการแข็งค่าขึ้นเมื่อวันจันทร์ (15 พ.ค.) หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลพยายามคลี่คลายความกังวลของนักลงทุน โดยระบุว่า พรรคก้าวไกลและพรรคพันธมิตรพร้อมรับมือกับความท้าทาย
"ผมเชื่อมั่นว่าเราจะได้คะแนนเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล" นายพิธากล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวานนี้ (18 พ.ค.)
นายณพล จาตุศรีพิทักษ์ นักวิชาการของสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak Institute ในสิงคโปร์ระบุว่า "เมื่อพิจารณาจากจำนวนเก้าอี้ที่พรรคเพื่อไทยคว้ามาได้ การที่จะจัดตั้งพรรครัฐบาลผสมที่สามารถปฏิบัติการงานได้นั้นจำเป็นต้องมีพรรคดังกล่าวรวมอยู่ด้วย"