การเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้รอบใหม่ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้เสร็จสิ้นลงแล้วในช่วงเช้าวันนี้ (23 พ.ค.) ตามเวลาไทย โดยนายแมคคาร์ธีกล่าวว่า การเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้
"ผมคิดว่าการเจรจาในครั้งนี้ดีกว่าทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยผู้นำจากทั้งสองฝ่ายมีการพูดคุยกันอย่างสร้างสรรค์ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เรายังไม่สามารถตกลงกันได้" นายแมคคาร์ธีกล่าวหลังจากเข้าร่วมเจรจากับปธน.ไบเดนเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง
ทั้งนี้ นายแมคคาร์ธีกล่าวว่า เขาคาดหวังว่าจะพูดคุยกับปธน.ไบเดนในทุก ๆ วันจนกว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ และทีมเจรจาที่ผู้นำของทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งนั้น จะเดินหน้าเจรจาร่วมกันต่อไปหลังจากนี้
"เราจะให้ทีมเจรจาของทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันต่อไป และรอดูว่าจะมีความคืบหน้าหรือไม่" นายแมคคาร์ธีกล่าว
ขณะที่ปธน.ไบเดนมีมุมมองในทิศทางเดียวกันว่า "การเจรจาครั้งนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ โดยเราทั้งสองฝ่ายต่างก็เน้นย้ำว่าจะต้องไม่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ และหนทางเดียวที่จะผลักดันเรื่องนี้ก็คือการที่เรามีความเชื่อมั่นว่าพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในท้ายที่สุด"
ภายหลังการประชุมในครั้งนี้ นายแมคคาร์ธีย้ำว่า พรรครีพับลิกันไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอการปรับเปลี่ยนมาตรการภาษีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการปรับเพิ่มเพดานหนี้
พรรครีพับลิกันต้องการให้ทำเนียบขาวปรับลดการใช้จ่ายเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่พรรคเดโมแครตเสนอให้ปรับลดการใช้จ่ายแค่ระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น นอกจากนี้ พรรคเดโมแครตยังต้องการให้รวมเพดานการใช้จ่ายด้านกลาโหมเอาไว้ในข้อตกลงนี้ด้วย
ความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันสายเหยี่ยวที่ต้องการให้เพิ่มงบประมาณของกระทรวงกลาโหมด้วยการตัดงบประมาณการใช้จ่ายทางสังคมลงเป็นจำนวนมาก โดยนายแมคคาร์ธีกล่าวว่าการลดงบประมาณด้านกลาโหมไม่ควรอยู่บนโต๊ะเจรจา
นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้ส่งจดหมายเตือนถึงสภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยมีใจความว่า "สหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้อย่างเร็วที่สุดในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติการขยายเพดานหนี้ ในอดีตที่ผ่านมานั้นสหรัฐได้รับบทเรียนว่าการประวิงเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนที่จะปรับเพิ่มเพดานหนี้ ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภคอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐด้วย"
ทั้งนี้ เพดานหนี้คือจำนวนเงินทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐได้รับอนุญาตให้ทำการกู้ยืมเพื่อให้รัฐบาลสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการด้านประกันสังคมและด้านสุขภาพ, ดอกเบี้ยตราสารหนี้ของรัฐบาล และการใช้จ่ายอื่น ๆ