สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ใกล้จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการลดการใช้จ่ายและการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจจะช่วยลดความเสี่ยงที่สหรัฐจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์
แหล่งข่าวระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะกำหนดจำนวนเงินโดยรวมที่รัฐบาลจะใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ที่สภาคองเกรสจะทำการอนุมัติเป็นรายปี (Discretionary Spending) เช่น การจัดหาที่อยู่อาศัยและการศึกษา โดยทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นต่างเกี่ยวกับจำนวนเงินสำหรับโครงการดังกล่าวอยู่ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์จากจำนวนเงินรวมที่สูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
ปธน.ไบเดนและนายแมคคาร์ธีได้ประชุมร่วมกันในวันพฤหัสบดี (25 พ.ค.) ขณะที่นายการ์เร็ต เกรฟส์ หัวหน้าตัวแทนการเจรจาจากพรรครีพับลิกันเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การพูดคุยกันของทั้ง 2 ฝ่ายจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในช่วงค่ำของวันดังกล่าวตามเวลาสหรัฐ
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ตัวแทนเจรจาจากพรรครีพับลิกันได้ยกเลิกแผนเพิ่มการใช้จ่ายทางทหาร ขณะที่ลดการใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ โดยพรรครีพับลิกันสนับสนุนให้ทำเนียบขาวกำหนดการใช้จ่ายทั้งสองรายการดังกล่าวอย่างเท่าเทียมกัน
ทางด้านปธน.ไบเดนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "พวกเขายังคงไม่เห็นด้วยกับภาคส่วนที่ควรปรับลดการใช้จ่าย ผมยังเชื่อว่าเราไม่ควรผลักภาระทั้งหมดไปให้กับชาวอเมริกันที่เป็นชนชั้นกลางและกลุ่มคนทำงาน"
แม้แหล่งข่าวเปิดเผยว่าการเจรจาดูเหมือนจะมีความคืบหน้า แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในวันใด ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐเตือนว่า รัฐบาลอาจจะผิดนัดชำระหนี้อย่างเร็วที่สุดในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ หากไม่มีการบรรลุข้อตกลงการปรับเพิ่มเพดานหนี้
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศให้เครดิตพินิจ (Rating Watch) ของสหรัฐเป็นเชิงลบ และเตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ AAA เนื่องจากการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งอาจจะส่งผลให้สหรัฐเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์
"การให้เครดิตพินิจเป็นเชิงลบสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางการเมืองที่ทำให้สหรัฐยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการปรับเพิ่มเพดานหนี้ แม้ว่าขณะนี้ใกล้จะถึงกำหนดเส้นตายการผิดนัดชำระหนี้ในวันที่ 1 มิ.ย. หรือ "X-date" ฟิทช์เชื่อว่าความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ จะทวีความรุนแรงมากขึ้น หากสหรัฐล้มเหลวในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ก่อน X-date และผลที่ตามมาก็คือรัฐบาลสหรัฐจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามพันธกรณีทางกฎหมาย" ฟิทช์ระบุในแถลงการณ์
ทั้งนี้ เพดานหนี้คือจำนวนเงินทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐได้รับอนุญาตให้ทำการกู้ยืมเพื่อให้รัฐบาลสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการด้านประกันสังคมและด้านสุขภาพ, ดอกเบี้ยตราสารหนี้ของรัฐบาล และการใช้จ่ายอื่น ๆ