จีนกำลังพิจารณาที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง หลังจากรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นเพื่อเร่งออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลงอย่างมากในขณะนี้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งร่างโดยหลายหน่วยงานของรัฐบาลนั้น ครอบคลุมถึงมาตรการอย่างน้อย 12 มาตรการที่กำหนดขึ้นเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะยาวในวันนี้ (13 มิ.ย.) หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย reverse repurchase rate ระยะ 7 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น ลง 0.10% สู่ระดับ 1.9% ในวันนี้เช่นกัน ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวลงครั้งแรกในรอบ 10 เดือนและเหนือความคาดหมายของตลาด
แหล่งข่าวระบุว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยหน่วยงานกำกับดูแลของจีนกำลังหาแนวทางในการปรับลดต้นทุนการกู้ยืมเพื่อการจำนองที่อยู่อาศัย และกระตุ้นการปล่อยเงินกู้ผ่านทางธนาคารนโยบายของรัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าธุรกรรมการขายบ้านจะเป็นไปอย่างราบรื่น
ทั้งนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า แผนการเหล่านี้ยังไม่ได้ข้อสรุปและอาจจะมีการปรับเปลี่ยน โดยคาดว่าสภาแห่งรัฐของจีนจะหารือกันเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ โดยเร็วที่สุดในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ (16 มิ.ย.) แต่ก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะประกาศบังคับใช้เมื่อใด
ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาเรียกร้องให้จีนเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากจีนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะเงินฝืด หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ระดับใกล้ 0% ในเดือนพ.ค.
นายหลิว หยวนชุน ประธานภาควิชาการเงินและเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า จีนควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดภาระด้านการเงินให้กับธุรกิจในภาคเอกชนและกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยนายหลิวเป็นอดีตที่ปรึกษาของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายหลี่ เค่อเฉียง อดีตนายกรัฐมนตรีจีน
ขณะที่นายเรย์มอนด์ เหยิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายกิจการจีนแผ่นดินใหญ่และจีนโพ้นทะเล (Greater China) ของบริษัทออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิง กรุ๊ปกล่าวว่า "รัฐบาลจีนจำเป็นต้องดำเนินการมากขึ้นเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ เราคาดว่าธนาคารกลางจีนอาจจะปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้"