เงินบาทของไทยร่วงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ กลุ่มนักวิเคราะห์ระบุว่า เงินบาทมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้น หลังนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มมากขึ้นกระตุ้นสถานะการเงินของไทย และหากไทยสามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่ฉุดราคาสินทรัพย์ไทยได้เป็นผลสำเร็จก็มีแนวโน้มที่จะทำให้เงินบาทไทยปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน
"การที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าประเทศไทยเป็นจำนวนมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะทำให้ไทยมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เนื่องจากรายได้การท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อค่าเงินบาท" นายปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารไทยพาณิชย์ในกรุงเทพระบุ
นายปุณยวัจน์ระบุว่า เงินบาทไทยอาจแข็งค่าขึ้นแตะ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งแข็งค่าขึ้นประมาณ 10% จากระดับปัจจุบัน
เงินบาทร่วงลงตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังพรรคการเมืองฝ่ายหนุนประชาธิปไตยที่คว้าเก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. ยังไม่สามารถขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาได้มากพอ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
สถานการณ์การเมืองที่เผชิญกับทางตันและยืดเยื้อของไทยได้ฉุดให้เงินบาทร่วงแตะ 35.285 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ 23 มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. โดยปัจจุบันเงินบาทร่วงลงประมาณ 3.5% นับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. ซึ่งถือเงินค่าเงินที่ร่วงลงมากที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เอเชียในช่วงเวลาดังกล่าว รองจากค่าเงินริงกิตของมาเลเซีย
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยระบุในเดือนพ.ค.ว่า นักท่องเที่ยวจากจีนและออสเตรเลียจะช่วยให้การท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้นในเดือนนี้ ขณะที่กลุ่มสายการบินกำลังเจรจากับกรมท่าอากาศยานไทยในการขอเพิ่มพื้นที่จอดเครื่องบิน
นายชัว ฮัน เถิง นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทดีบีเอส กรุ๊ป โฮลดิงส์ ในสิงคโปร์ระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยเพียงประมาณ 40% ของช่วงก่อนเกิดโรคโควิด-19 ระบาด ณ เดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งหมายความว่ายังมีโอกาสอย่างมากที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเยือนไทยจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เนื่องจากความจุที่นั่งของเที่ยวบินเพิ่มสูงขึ้น