ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ประจำปีของภาคธนาคารในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทย (29 มิ.ย.) โดยระบุว่า ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐทั้ง 23 แห่งสามารถผ่านการทดสอบดังกล่าว
เฟดระบุว่า ธนาคารรายใหญ่ทั้ง 23 แห่งมีสถานะแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง ขณะเดียวกันก็ยังสามารถปล่อยกู้ให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจได้ แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับภาวะถดถอยรุนแรง
การทดสอบ Stress Test ในปีนี้ครอบคลุมถึงการทดสอบว่าธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐจะสามารถรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยอย่างรุนแรงได้หรือไม่ รวมทั้งกรณีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และราคาบ้านทรุดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ, พื้นที่เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก และอัตราการว่างงานที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 10%
ภายใต้การทดสอบสถานการณ์เหล่านี้ เฟดพบว่าธนาคารรายใหญ่มีอัตราส่วนโครงสร้างเงินทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity to capital ratio : EQ) ซึ่งเป็นเงินทุนกันชนเพื่อรองรับการขาดทุนนั้น จะปรับตัวลง 2.3% สู่ระดับ 10.1% อย่างไรก็ดี ธนาคารทั้ง 23 แห่งยังคงมีเงินทุนขั้นต่ำสูงกว่าข้อกำหนดในช่วงที่เศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรง แม้คาดว่าธนาคารเหล่านี้อาจขาดทุนรวมกันมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ก็ตาม
การทดสอบ Stress Test มีขึ้น หลังจากเกิดภาวะปั่นป่วนในภาคธนาคารเป็นวงกว้างทั้งในสหรัฐและยุโรปในช่วงต้นปีนี้ โดยมีสาเหตุมาจากการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) หลังจากลูกค้าของ SVB แห่ถอนเงินออกมาเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
นายไมเคิล บาร์ รองประธานเฟดฝ่ายกำกับดูแลภาคธนาคารกล่าวว่า "ผลการทดสอบ Stress Test ในวันนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าระบบธนาคารของสหรัฐยังคงแข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่น แต่เรายังคงไม่ประมาท เนื่องจากความเสี่ยงอาจจะกลับมาอีก และเรายังคงทำงานต่อไปเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าธนาคารของสหรัฐจะสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและภาวะวิกฤตในตลาด รวมทั้งแรงกดดันที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า"