ธนาคารโลกเปิดเผยรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยหัวข้อ "สร้างอนาคตที่คล่องตัว: รับมือภัยแล้งและอุทกภัย (Coping with Floods and Droughts in Thailand Thailand)" ประจำเดือนมิ.ย. โดยระบุว่า ไทยมีความเสี่ยงสูงต่อการเผชิญเหตุอุทกภัยและภัยแล้ง เช่นเดียวกับหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไทยเผชิญเหตุน้ำท่วมและภัยแล้งบ่อยครั้ง และปัจจุบันติดอันดับ 9 ของโลกบนดัชนี INFORM ซึ่งเป็นดัชนีความเสี่ยงด้านน้ำท่วม ตามหลังเวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา
ในปี 2554 เหตุน้ำท่วมใหญ่ในไทยทำให้มีผู้เสียชีวิต 680 ราย ประชาชนเกือบ 13 ล้านคนได้รับความเดือดร้อน รวมถึงสร้างความเสียหายและความสูญเสียต่อเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท (4.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือเทียบเท่า 12.6% ของ GDP ไทย
กรุงเทพและแหล่งอุตสาหกรรมส่งออกในบริเวณใกล้เคียงยังคงเผชิญความเสี่ยงต่อเหตุน้ำท่วมเป็นพิเศษ แม้มีการออกมาตรการควบคุมน้ำท่วม ขณะเดียวกันไทยยังเผชิญภาวะภัยแล้งบ่อยครั้งจากปัจจัยหลายประการ เช่น ฝนแล้งและการจัดการดินที่ย่ำแย่
รายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้เกิดอุทุกภัยบ่อยครั้งและรุนแรงยิ่งขึ้นในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้า โดยการเปลี่ยนแปลงไปของรูปแบบสภาพอากาศที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้เหตุน้ำท่วมสร้างผลกระทบมากขึ้น โดยการคาดการณ์ปัจจุบันชี้ว่าไทยจะเผชิญอัตราฝนรายปีเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ฝนมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งบ่งชี้ว่าความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ยจากการคาดการณ์สภาพอากาศในอนาคตบ่งชี้ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันในไทยอาจเพิ่มขึ้น 1.8 องศาเซียลเซียสภายในปี 2593
ธนาคารโลกระบุว่า ความเสียหายด้านเศรษฐกิจมหภาคที่เกิดจากเหตุน้ำท่วมจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ระดับ 1 ในรอบ 50 (เช่นเหตุน้ำท่วมปี 2554) ในปี 2573 นั้น จะทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 10% ของ GDP จากผลพวงของการสูญเสียด้านการผลิต