นายฟิล สเปนเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมโครซอฟท์ เกมมิง (Microsoft Gaming) เปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ว่า ไมโครซอฟท์ได้ลงนามในข้อตกลงที่จะให้เกม "Call of Duty" อยู่บนเครื่องเล่นวิดีโอเกมเพลย์สเตชัน (PlayStation) ต่อไป หลังการเข้าซื้อกิจการของแอคติวิชัน บลิซซาร์ด (Activision Blizzard)
นายสเปนเซอร์ระบุว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า ไมโคซอฟท์และเพลย์สเตชันได้ลงนามในข้อตกลงที่จะให้เกม Call of Duty อยู่บนเพลย์สเตชันต่อไป หลังจากที่ไมโครซอฟท์เข้าซื้อกิจการของแอคติวิชัน บลิซซาร์ด"
แอคติวิชันเป็นผู้ผลิตวิดีโอเกมขายดีในซีรีส์ Call of Duty ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกต่างแสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับอำนาจของไมโครซอฟท์ที่มีต่อตลาดเกม หากการเข้าซื้อกิจการของแอคติวิชันได้รับการอนุมัติ
นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเป็นผู้ผลิตเครื่องเล่นเกมเอ็กซ์บ็อกซ์ (Xbox) ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงกับเครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชันของบริษัทโซนี่ ทำให้เกิดความกังวลว่า ไมโครซอฟท์จะทำให้เกมต่าง ๆ กลายเป็น "เอ็กซ์คลูซีฟเกม" สำหรับคอนโซลของตนเอง และเบียดโซนี่ออกจากการแข่งขัน
อย่างไรก็ดี ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยแก้ไขข้อกังวลข้างต้นได้ในระดับหนึ่ง โดยโฆษกของไมโครซอฟท์ระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงระยะยาว และบริษัทเคยลงนามในข้อตกลงที่คล้ายคลึงกันมาแล้วในอดีต
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) พยายามขัดขวางไม่ให้ไมโครซอฟท์ปิดดีลซื้อกิจการบริษัทแอคติวิชัน บลิซซาร์ด ซึ่งเป็นผู้ผลิตวิดีโอเกมรายใหญ่ของสหรัฐในวงเงิน 6.87 หมื่นล้านดอลลาร์ โดย FTC ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแขวงเมืองซานฟรานซิสโก เพื่อขอให้ศาลสั่งระงับข้อตกลงระหว่างไมโครซอฟท์และแอคติวิชันเป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีความกังวลเรื่องการผูกขาดตลาด
แต่ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 ก.ค.) ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐปฏิเสธคำร้องของ FTC ซึ่งจะเปิดทางให้ไมโครซอฟท์ขยายธุรกิจเกมได้ด้วยการปิดดีลซื้อกิจการแอคติวิชัน อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวซึ่งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ในวงการวิดีโอเกม ยังคงต้องได้รับการอนุมัติในประเทศอังกฤษ