ตลาดการเงินจับตาการประชุมนโยบายการเงินของ 3 ธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลกในสัปดาห์นี้ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมในวันที่ 25-26 ก.ค. ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะจัดการประชุมในวันที่ 27 ก.ค. และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะจัดการประชุมวันที่ 27-28 ก.ค.
ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. ขณะเดียวกันคาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 27 ก.ค. และคาดว่า BOJ อาจจะปรับนโยบายการเงินในการประชุมวันที่ 27-28 ก.ค.นี้ หลังจากญี่ปุ่นเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานพุ่งขึ้น 3.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าเป้าหมายของ BOJ ที่ระดับ 2% เป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน
-- โฆษกของซีเอ็มอี กรุ๊ป (CME Group) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายอนุพันธ์ (derivatives) ใหญ่ที่สุดของโลกเปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการปลดพนักงานราว 100 ตำแหน่งหรือ 3% ของพนักงานทั้งหมดในสัปดาห์นี้ ขณะที่จะทำการจัดสรรตำแหน่งงานบางส่วน
โฆษกระบุในแถลงการณ์ผ่านทางอีเมลว่า "CME วางแผนที่จะจัดสรรตำแหน่งงานส่วนใหญ่เหล่านั้นไปเป็นงานทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับระบบคลาวด์ " และระบุเสริมว่า จำนวนพนักงานทั้งหมดโดยรวมจะยังคงเหมือนเดิม
ทั้งนี้ CME ซึ่งเป็นตลาดและสำนักหักบัญชีที่เก่าแก่ถึง 125 ปีนั้นได้ดำเนินการตามธนาคารรายใหญ่ ๆ ในย่านวอลล์สตรีทในการปรับลดพนักงาน หลังจากที่ธนาคารระดับภูมิภาค 2 แห่งของสหรัฐล้มลงในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดของภาคธนาคารสหรัฐนับตั้งแต่ปี 2551
-- คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนเปิดเผยว่า บริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชั้นนำซึ่งรวมถึง โอเพนเอไอ, อัลฟาเบท และ เมตา แพลตฟอร์มส ได้ให้คำมั่นสัญญาโดยสมัครใจกับทำเนียบขาวในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น การใส่ลายน้ำสำหรับเนื้อหาที่สร้างโดย AI เพื่อช่วยให้เทคโนโลยีดังกล่าวมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทต่างๆ ซึ่งรวมถึงแอนทรอพิก, อินเฟล็กชัน, อะเมซอน.คอม และไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับโอเพนเอไอนั้น ได้ให้คำมั่นว่าจะทำการทดสอบระบบอย่างถี่ถ้วนก่อนเปิดใช้บริการ และจะแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับวิธีลดความเสี่ยง รวมทั้งจะลงทุนในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนับเป็นชัยชนะสำหรับความพยายามของฝ่ายบริหารของปธน.ไบเดนในการควบคุมเทคโนโลยี AI ที่ประสบความสำเร็จในด้านการลงทุนและได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้บริโภค
-- ตลาดจับตาผลกระทบของการที่อินเดียประกาศยุติการส่งออกข้าวโดยมีผลบังคับใช้ในทันที เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาข้าวภายในประเทศที่ทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายปีในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าว
รายงานล่าสุดระบุว่า ดีลเลอร์ 4 รายยืนยันว่า สัญญาส่งออกข้าวราว 2 ล้านตัน มูลค่าราว 1 พันล้านดอลลาร์มีความเสี่ยงที่จะถูกยกเลิก โดยใช้เหตุผลว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจากการประกาศห้ามส่งออก
เทรดเดอร์กล่าวว่า ขณะที่ราคาข้าวในตลาดโลกจะปรับตัวขึ้นเพราะอินเดียห้ามการส่งออก แต่ราคาภายในประเทศมีแนวโน้มลดลง สำหรับประเทศรายใหญ่ที่ซื้อข้าวที่ไม่ใช่พันธุ์บาสมาติของอินเดียได้แก่ เบนิน เซเนกัล ไอวอรีโคสต์ โตโก กินี บังกลาเทศ และเนปาล
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่อยู่ในความสนใจของตลาดในวันนี้ รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ค.ของญี่ปุ่นจาก Jibun Bank และอัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย.ของสิงคโปร์ ส่วนฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) จะเปิดเผยดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ค.ของฝรั่งเศส เยอรมนี และอียู
ทางด้านเอสแอนด์พี โกลบอลจะเปิดเผยดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.ค.ของอังกฤษ และสหรัฐ