สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วางแผนที่จะผลักดันการใช้เงินหยวนและสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชียในการทำธุรกรรมด้านการค้าและการลงทุน โดยมีเป้าหมายที่จะลดความผันผวนของสกุลเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
นางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ธปท.คาดการณ์ว่าจะมีการใช้สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียเพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากสกุลเงินเหล่านี้มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับค่าเงินบาท
นางอลิศรากล่าวว่า ในขณะที่ความพยายามของไทยในการส่งเสริมสกุลเงินต่าง ๆ ที่นอกเหนือไปจากดอลลาร์เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้วนั้น แต่ความพยายามนั้นเพิ่มขึ้นในขณะนี้ โดยได้แรงหนุนจากการทำข้อตกลงระดับทวิภาคีระหว่างธนาคารกลาง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน
นางอลิศรายังกล่าวด้วยว่า ไทยซึ่งต้องพึ่งพาการค้าและการท่องเที่ยวนั้น เป็น 1 ในหลายประเทศที่ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข็งค่าของดอลลาร์ซึ่งทำให้สกุลเงินของประเทศอื่น ๆ อ่อนค่าลงและกลายเป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันธปท.กำลังร่วมมือกับธนาคารกลางของประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย รวมถึงจีน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เพื่อส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในประเทศ และคาดว่าจะเห็นความคืบหน้ามากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนดี
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของธปท.เกิดขึ้นในขณะที่ทั่วโลกพยายามลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ โดยเมื่อไม่นานมานี้ จีนได้ลงนามในข้อตกลงหลายฉบับเพื่อกระตุ้นการค้าในรูปสกุลเงินหยวน ขณะที่อินเดียกำลังส่งเสริมค่าเงินรูปี และหลายประเทศตั้งแต่บราซิลไปจนถึงอาร์เจนตินากำลังมองหาทางเลือกอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากสกุลเงินดอลลาร์
ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น 3% ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ของเอเชีย หลังจากที่บาทอ่อนค่าลงติดต่อกัน 3 เดือนก่อนหน้านี้
"ความผันผวนของดอลลาร์/บาทปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ปีที่แล้ว ดังนั้นธปท.จึงจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือเพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับความผันผวนดังกล่าว" นางอลิศรากล่าวกับบลูมเบิร์ก
นอกจากนี้ นางอลิศราเปิดเผยว่า การค้าในรูปสกุลเงินหยวนกับจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าและการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของไทยนั้น เพิ่มขึ้น 1.2% ในปี 2565 จากระดับ 0.3% ของการค้าโดยรวมในปี 2558 แต่ขณะนี้มีความเป็นไปได้ที่ไทยจะใช้เงินหยวนในการทำการค้ากับจีนมากขึ้น หลังจากที่จีนได้ผ่อนคลายกฎระเบียบ และบริษัทต่าง ๆ เริ่มเปิดกว้างมากขึ้นในการแสวงหาทางเลือกใหม่เพื่อลดความเสี่ยงของค่าเงิน