บรรดาผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า อุตสาหกรรมไวน์ของออสเตรเลียกำลังประสบปัญหาอุปทานส่วนเกินอย่างรุนแรง ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีในการแก้ไข โดยบ่งชี้ว่ามีสาเหตุมาจากการกำหนดภาษีศุลกากรของจีน, ปริมาณการผลิตสูง และปัญหาด้านการส่งออกในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ราโบแบงก์ (Rabobank) ระบุในรายงานเรื่องไวน์ประจำไตรมาส 3 ในสัปดาห์นี้ว่า ไร่องุ่นทั่วประเทศออสเตรเลียมีไวน์จัดเก็บไว้ในคลังมากพอที่จะเติมสระว่ายน้ำโอลิมปิก 859 แห่งจนเต็ม
"นั่นคือไวน์มากกว่า 2 พันล้านลิตร หรือมากกว่า 2.8 ล้านขวด" เพีย พิกกอตต์ นักวิเคราะห์ของราโบรีเสิร์ช (RaboReseach) กล่าว พร้อมเสริมว่า ไวน์ในคลังมีราคาตกต่ำลง โดยเฉพาะไวน์แดงราคาถูกที่ผลิตในปริมาณมากเพื่อส่งจำหน่ายในร้านค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและจีนย่ำแย่ลงนับตั้งแต่ปี 2563 หลังจากที่ออสเตรเลียออกมาเรียกร้องให้หาต้นตอของโรคโควิด-19 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับจีน และส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดไวน์และข้าวบาร์เลย์ของออสเตรเลีย
อนึ่ง จีนคือประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย
มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมไวน์ของออสเตรเลีย โดยการส่งออกไวน์ไปยังจีนลดลงเหลือเพียง 8.1 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (5.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในช่วงปี 2562 จนถึงเดือนม.ค. 2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ด้านนายลี แมคลีน ซีอีโอของออสเตรเลีย เกรป แอนด์ ไวน์ (Australian Grape & Wine) ซึ่งเป็นสมาคมผู้ผลิตองุ่นและไวน์ของออสเตรเลียกล่าวว่า ไม่มีตลาดอื่น ๆ ที่จะสามารถชดเชยตลาดจีนได้โดยง่าย
ทั้งนี้ ไวน์ ออสเตรเลีย (Wine Australia) หน่วยงานวิสาหกิจของรัฐบาลที่ส่งเสริมและควบคุมอุตสาหกรรมไวน์ของออสเตรเลีย ได้เผยแพร่รายงานการส่งออกไวน์ประจำเดือนก.ค.ระบุว่า มูลค่าการส่งออกไวน์ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 10% สู่ระดับ 1.87 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ส่วนในแง่ปริมาณนั้น ลดลง 1% สู่ระดับ 621 ล้านลิตร