รายงาน Beige Book ยังระบุถึงความอ่อนแอในภาคส่วนการอุปโภคบริโภค เนื่องจากมีครัวเรือนจำนวนมากขึ้นที่นำเงินออมที่เก็บไว้ในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดมาใช้จนหมด และหันไปกู้ยืมเงินมากขึ้น ในขณะเดียวกันรายงานยังพบหลักฐานว่า มีครัวเรือนจำนวนมากขึ้นที่ประสบกับความยากลำบากในการชำระหนี้
ทั้งนี้ Beige Book เป็นรายงานซึ่งจะมีการเปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยเป็นการประเมินภาวะเศรษฐกิจจากเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งประจำอยู่ใน 12 เขตของสหรัฐ
นอกจากนี้ Beige Book เป็นรายงานที่มีการรวบรวมข้อมูลจากมุมมองของผู้นำธุรกิจ รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนายธนาคารในภูมิภาค ทำให้ Beige Book สามารถสะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้าง
ผลสำรวจล่าสุดของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 48.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 1 พ.ย. และให้น้ำหนัก 93% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 ก.ย.นี้
ส่วนปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ย.นั้น มาจากการรายงานดัชนีภาคบริการที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 54.5 ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 52.5 จากระดับ 52.7 ในเดือนก.ค. โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของตัวเลขจ้างงาน
ทั้งนี้ ดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่