สหรัฐและสหภาพยุโรป (EU) กำลังดำเนินการเกี่ยวกับข้อตกลงที่จะเรียกเก็บภาษีใหม่กับการผลิตเหล็กกล้าส่วนเกินจากจีนและประเทศอื่น ๆ รวมถึงยุติความขัดแย้งทางการค้าที่เกิดขึ้นในยุคที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า การเรียกเก็บภาษีดังกล่าวหลัก ๆ แล้วจะมุ่งเป้าไปที่การนำเข้าเหล็กกล้าจากจีนซึ่งได้ประโยชน์จากพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด
อย่างไรก็ตาม สหรัฐและ EU ยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับขอบเขตของมาตรการดังกล่าว ซึ่งรวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่จะถูกเรียกเก็บภาษีและระดับของภาษี
นอกจากนี้ สหรัฐและ EU ยังมีแนวโน้มที่จะเชิญชวนให้ประเทศอื่น ๆ เข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวในอนาคต
ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมที่ยั่งยืนระดับโลก (Global Arrangement on Sustainable Steel and Aluminum) ซึ่ง EU และคณะบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐเจรจากันมาตั้งแต่ปี 2564 โดยการเจรจาดังกล่าวตั้งเป้ายุติความขัดแย้งที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อนายทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าโลหะจากยุโรป โดยอ้างอิงถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ
สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าโลหะจากยุโรป 25% นับตั้งแต่ปี 2561 และ EU ได้ตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีนำเข้าในระดับเดียวกันต่อการนำเข้าเหล็กกล้าตามมาตรการปกป้องตนเอง
ในปี 2564 สหรัฐและ EU ตกลงระงับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อกัน และมีกำหนดเส้นตายในวันที่ 31 ต.ค.ปีนี้ เพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแบบถาวร หลังจากนั้น สหรัฐและ EU จะกลับมาจัดเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าส่งออกมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐอีกครั้งโดยอัตโนมัติ เว้นเสียแต่ว่าทั้งสองฝ่ายจะต่อเวลาระงับการจัดเก็บภาษี