ที่ปรึกษาด้านสุขภาพคาดการณ์ว่า บรรดานายจ้างในสหรัฐกำลังเตรียมพร้อมรับมือกับการเพิ่มขึ้นของค่าประกันสุขภาพครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปีในปีหน้า แต่เนื่องจากภาวะตลาดแรงงานยังคงตึงตัวนั้น บรรดานายจ้างจะไม่ผลักภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้กับลูกจ้าง
ที่ปรึกษาด้านผลประโยชน์จากบริษัทเมอร์เซอร์ (Mercer) เอออน (Aon) และวิลลิส ทาวเวอร์ส วัตสัน (Willis Towers Watson) มองว่า ต้นทุนของนายจ้างในการดูแลสุขภาพพนักงานจะพุ่งขึ้น 5.4-8.5% ในปี 2567 เนื่องจากเงินเฟ้อที่เกิดจากค่าบริการทางการแพทย์, ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับยาลดน้ำหนักที่มีราคาแพง และความพร้อมในวงกว้างมากขึ้นในด้านพันธุกรรมบำบัด (Gene therapy) ที่มีราคาสูง
ผลสำรวจของเมอร์เซอร์พบว่า 2 ใน 3 ของนายจ้างไม่มีแผนการที่จะผลักภาระต้นทุนการประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้นให้กับลูกจ้าง หรือผลักภาระน้อยกว่าคาดในปี 2567
นางเบธ อัมแลนด์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านสุขภาพและผลประโยชน์ของเมอร์เซอร์กล่าวว่า "พวกเขาไม่อยากเพิ่มความเครียดทางการเงินให้กับลูกจ้างซึ่งต้องรับมือกับเงินเฟ้ออยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาผลประโยชน์ด้านสุขภาพเพื่อรักษาลูกจ้างไว้ให้ทำงานกับพวกเขาต่อไป"
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.7% ในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนส.ค. ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 9.1% ในเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลนั้นมักเกิดขึ้นล่าช้ากว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เนื่องจากสัญญาระหว่างบริษัทประกันและโรงพยาบาลสำหรับค่าใช้จ่ายในขั้นตอนต่าง ๆ นั้น ได้มีการลงนามกันไว้ล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนหรือเป็นปี