ประธานเฟดดัลลัสหนุนเบรกขึ้นดอกเบี้ย หลังบอนด์ยีลด์พุ่ง-ภาวะการเงินตึงตัว

นางลอรี โลแกน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัสกล่าวในการประชุมที่จัดโดยสมาคมเศรษฐกิจธุรกิจแห่งชาติ (National Association for Business Economics) ของสหรัฐเมื่อวานนี้ (9 ต.ค.) ว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐ และภาวะการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นในขณะนี้ อาจทำให้เฟดมีความจำเป็นน้อยลงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

"ดิฉันคาดว่า ภาวะการเงินที่ตึงอย่างต่อเนื่องจากการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินของเฟดนั้น จะยังคงมีความจำเป็นเพื่อทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพและยั่งยืน ขณะเดียวกันดิฉันยังคงจับตาความเสี่ยงสองด้านที่เกิดจากการดำเนินนโยบายของเรา โดยในมุมมองของดิฉันนั้น ภาวะเงินเฟ้อสูงยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด และเราไม่ควรให้ความเสี่ยงนี้ฝังรากลึกอยู่ในระบบเศรษฐกิจ" นางโลแกนกล่าว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นับตั้งแต่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นสู่ระดับ 5.25-5.50% ในเดือนก.ค. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐก็พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้ต้นทุนการกู้ยืมปรับตัวสูงขึ้น และเป็นปัจจัยขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจและการจ้างงาน

ทั้งนี้ นางโลแกนกล่าวว่า "หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวยังคงอยู่ในระดับสูง เฟดก็อาจจะมีความจำเป็นน้อยลงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น"

การแสดงความเห็นของนางโลแกน สอดคล้องกับที่นางแมรี ดาลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกกล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมเศรษฐกิจแห่งรัฐนิวยอร์กเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ว่า เฟดอาจไม่จำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เมื่อพิจารณาจากนโยบายการเงินของเฟดที่อยู่ในระดับที่คุมเข้มแล้วและกระบวนการฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% นั้นมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ตลอดจนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา