สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก นำเข้าน้ำมันดิบ 2.70 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อปีที่แล้ว โดยกว่า 90% มาจากประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และคูเวตเป็นผู้ส่งออกรายหลักแก่ญี่ปุ่น
นายมัตสึโนะ แถลงต่อสื่อมวลชนว่า "รัฐบาลญี่ปุ่นจะเรียกร้องให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันสร้างเสถียรภาพในตลาดน้ำมันดิบทั่วโลก ผ่านการเพิ่มการผลิตและการลงทุนในกำลังการผลิต"
รายงานระบุว่า สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นกว่า 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มขึ้น แต่ราคาก็ปรับตัวลงในวันนี้ (19 ต.ค) หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ระบุว่า ไม่มีแผนที่จะดำเนินการตามข้อเรียกร้องของอิหร่านที่ต้องการให้มีการคว่ำบาตรน้ำมันต่ออิสราเอล
นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งเดินทางเยือนตะวันออกกลางเมื่อเดือนก.ค. ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (18 ต.ค.) เกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤตด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา และการช่วยบรรเทาความตึงเครียด
ทั้งนี้ นายมัตสึโนะกล่าวว่า นายคิชิดะและมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียไม่ได้หารือใด ๆ เกี่ยวกับการรักษาเสถียรภาพในตลาดน้ำมันดิบ พร้อมกล่าวเสริมว่า "ผมขอร้องให้ประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงซาอุดีอาระเบีย คว้าโอกาสและก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพในตลาดน้ำมันดิบทั่วโลก รวมถึงการพิ่มการผลิต"