World Today: ประเด็นข่าวต่างประเทศน่าติดตามวันนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 13, 2023 08:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวลงกว่า 70 จุดในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากมูดี้ส์ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐ

มูดี้ส์ประกาศลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐสู่ "เชิงลบ" จาก "มีเสถียรภาพ" เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 พ.ย.) โดยคาดการณ์ว่า การขาดดุลการคลังของสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับสูงมาก และจะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม มูดี้ส์ยังคงตรึงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาว รวมถึงตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิ์และไม่มีประกันของรัฐบาลสหรัฐไว้ที่ระดับ Aaa

-- นักลงทุนในตลาดการเงินจับตาการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ย หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณครั้งล่าสุดว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากภารกิจการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น

กระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนต.ค.ในวันพรุ่งนี้ (14 พ.ย.) โดยดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ส่วนในวันพุธที่ 15 พ.ย. ทางกระทรวงจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนต.ค. โดยดัชนี PPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต

-- นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเดอะวอลล์สตรีท เจอร์นัล คาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค.ของสหรัฐจะขยับขึ้น 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนก.ย.ที่ปรับตัวขึ้น 0.4% ส่วนเมื่อเทียบเป็นรายปี คาดว่าดัชนี CPI จะปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือนต.ค. ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนก.ย.ที่ปรับตัวขึ้น 3.7%

สำหรับดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับการขยายตัวในเดือนก.ย. ส่วนเมื่อเทียบเป็นรายปี คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐานจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 4.1%

-- นักลงทุนจับตาการเจรจาระดับทวิภาคีแบบพบหน้ากันระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันที่ 15 พ.ย. ซึ่งจะเป็นการพบกันนอกรอบการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่ซานฟรานซิสโก

การประชุมดังกล่าวมีขึ้นเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งได้ประสบความตึงเครียดตั้งแต่ต้นปีนี้ หลังจากที่ปธน.ไบเดนสั่งยิงบอลลูนของจีนที่ล่วงล้ำน่านฟ้าสหรัฐ โดยกล่าวหาว่าเป็นบอลลูนสอดแนม ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของสหรัฐ นอกจากนี้ สหรัฐและจีนยังมีประเด็นความขัดแย้งทางการค้าและไต้หวัน

ทั้งนี้ คาดว่าในการพบกันในวันที่ 15 พ.ย. ผู้นำสหรัฐและจีนจะหารือกันในหลากหลายประเด็น นับตั้งแต่ไต้หวัน, ทะเลจีนใต้, การค้าเซมิคอนดักเตอร์, สิทธิมนุษยชน, สงครามรัสเซีย-ยูเครน และการสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส

-- สำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐออกรายงานเตือนว่า ยาหยอดตาที่ถูกเรียกเก็บจากร้านขายยาทั่วสหรัฐเมื่อเดือนที่แล้วนั้นผลิตในโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐานแห่งหนึ่งในอินเดีย ซึ่งคนงานเดินเท้าเปล่าและจัดทำผลการทดสอบขึ้นเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ดูมีความปลอดภัย

รายงานดังกล่าวที่ระบุว่า ร้านค้าปลีก เช่น วอลมาร์ท อิงค์, ซีวีเอส เฮลท์ คอร์ป และทาร์เกต คอร์ป จำหน่ายยาหยอดตาดังกล่าวภายใต้ชื่อแบรนด์ของตน ซึ่งยาหยอดตาดังกล่าวผลิตโดยบริษัทคิลิทช์ เฮลท์แคร์ อินเดีย จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองนาวีมุมไบของอินเดีย

ทั้งนี้ FDA ไม่ได้ระบุชื่อบริษัทคิลิทช์เมื่อแจ้งกับผู้บริโภคเมื่อวันที่ 27 ต.ค.ว่า อย่าซื้อหรือใช้ยาหยอดตาจากแบรนด์ชั้นนำหลายยี่ห้อ เนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ดวงตา

-- ตลาดการเงินยังคงติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยนายแพทย์เทดรอส อาดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN) ว่า เด็กหนึ่งคนถูกสังหารโดยเฉลี่ยทุก ๆ 10 นาทีในฉนวนกาซา และเตือนว่า "ไม่มีที่ใดและไม่มีใครที่ปลอดภัย" นายแพทย์เทดรอสกล่าวว่า โรงพยาบาลจำนวนครึ่งหนึ่งจาก 36 แห่งในกาซาและ 2 ใน 3 ของศูนย์ดูแลสุขภาพหลักไม่สามารถให้บริการได้ ขณะที่โรงพยาบาลที่ดำเนินการอยู่นั้นก็ต้องให้บริการดูแลผู้ป่วยจนเกินขีดความสามารถ โดยอธิบายว่าระบบการรักษาพยาบาลกำลังเผชิญภาวะย่ำแย่

ทั้งนี้ อิสราเอลยืนกรานที่จะกวาดล้างกลุ่มฮามาสซึ่งปกครองฉนวนกาซาหลังจากบุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งกลุ่มฮามาสสังหารประชาชนไปราว 1,200 คน และจับตัวประกันไปมากกว่า 240 คน

-- ประเทศต่าง ๆ มากกว่า 60 ประเทศทั่วโลกสนับสนุนข้อตกลงที่นำโดยสหภาพยุโรป, สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่จะเพิ่มพลังงานทดแทนขึ้น 3 เท่าในทศวรรษนี้ และเลิกใช้ถ่านหิน

สหภาพยุโรป, สหรัฐ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ร่วมกันสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว ก่อนการประชุมเรื่องสภาพภูมิอากาศ COP28 ประจำปีของสหประชาชาติ (UN) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย. ถึง 12 ธ.ค. ที่ดูไบ และจะเรียกร้องให้รวมข้อตกลงนั้นไว้ในผลการประชุมผู้นำโลกในวันที่ 2 ธ.ค. ข้อตกลงดังกล่าวจะกำหนดให้ประเทศที่ลงนามทำการเพิ่มอัตราการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานของโลกขึ้น 2 เท่าเป็น 4% ต่อปีไปจนถึงปี 2573 นอกจากนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยังระบุด้วยว่า การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นจะต้องมาพร้อมกับ "การค่อย ๆ ลดปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน" รวมถึงยุติการจัดหาเงินทุนสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ