ราคาทองฟิวเจอร์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 2,100 ดอลลาร์/ออนซ์แล้วในช่วงเช้าวันนี้ (4 ธ.ค.) ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าราคาทองจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่องจนถึงปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและจะเริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า นอกจากนี้ คาดว่าความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
นายเฮง คุน โฮว์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การตลาดจากธนาคารยูโอบีให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า กระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางอีกหลายแห่งทั่วโลกจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนราคาทองคำ โดยเขาคาดว่าราคาทองคำจะพุ่งแตะระดับ 2,200 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในสิ้นปี 2567
ขณะที่นายนิกกี้ ชิลด์ส หัวหน้านักกลยุทธด้านโลหะมีค่าของบริษัท MKS PAMP กล่าวว่า ขณะนี้ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นผ่านระดับ 2,100 ดอลลาร์ไปแล้ว และการที่ราคาทองคำจะทะยานขึ้นแตะระดับ 2,200 ดอลลาร์จึงมีความเป็นไปได้
นักวิเคราะห์หลายรายมีความเห็นในทางเดียวกันว่า การอ่อนค่าของดอลลาร์, ความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า และความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งรวมถึงการทำสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส จะทำให้ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดระดับใหม่ในปีหน้า และคาดว่าราคาทองจะยังคงเคลื่อนไหวเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อไปอีกระยะหนึ่ง "เราเชื่อว่าปัจจัยหลักที่จะหนุนราคาทองคำในปี 2567 คือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด, เงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น" บีเอ็มไอ (BMI) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของฟิทช์ โซลูชันส์ระบุ ทางด้าน บาร์ต เมเลค หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัททีดี ซีเคียวริตีส์ คาดว่า ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,100 ดอลลาร์ในไตรมาส 2/2567 โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรอง
ทั้งนี้ ผลการสำรวจล่าสุดของสภาทองคำโลก (WGC) พบว่า ธนาคารกลางทั่วโลกจะซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรองอีก 24% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า