นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกน เชสกล่าวต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐว่า เขาจะสั่งปิดอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี หากเขามีอำนาจที่จะทำเช่นนั้น
"ผมต่อต้านคริปโทฯ, บิตคอยน์ และอื่น ๆ อย่างมากมาโดยตลอด" นายไดมอนระบุในระหว่างการซักถามของนางอลิซาเบธ วอร์เรน วุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ ในการประชุมรับฟังความคิดเห็นของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐด้านการธนาคาร
"ผู้ใช้คริปโทฯ จริง ๆ คือกลุ่มอาชญากร ผู้ค้ายาเสพติด ? การฟอกเงิน และการหลบเลี่ยงภาษี ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมจะสั่งปิดมัน" นายไดมอนกล่าวเสริม
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายไดมอนได้วิพากษ์วิจารณ์สกุลเงินดิจิทัลมาอย่างยาวนาน โดยก่อนหน้านี้เขาเรียกมันว่า "เครือข่ายแชร์ลูกโซ่" และ "สิ่งหลอกลวง" โดยถ้อยแถลงล่าสุดของเขามีขึ้น หลังจากเกิดการแฮกและเรื่องอื้อฉาวต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมคริปโทฯ ซึ่งเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นจากหน่วยงานกำกับดูแลและฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวิกฤตของเอฟทีเอ็กซ์ (FTX) แพลตฟอร์มคริปโทฯ ของนายแซม แบงค์แมน-ฟรีด
นายไดมอน พร้อมด้วยผู้นำในอุตสาหกรรมธนาคารอื่น ๆ เช่น นายไบรอัน มอยนิฮาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแบงก์ ออฟ อเมริกายืนยันว่า พวกเขามีมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้ผู้ก่อการร้ายและผู้กระทำผิดกฎหมายใช้สถาบันธนาคารของตน
ส่วนนางวอร์เรนได้บ่งชี้ถึงความแตกต่างระหว่างธนาคารกับตลาดคริปโทฯ และระบุเสริมว่าควรขยายการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการฟอกเงินของธนาคารให้ครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งซีอีโอทุกคนเห็นด้วยกับแนวคิดนี้
"ปกติแล้วดิฉันไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับบรรดาซีอีโอของธนาคารที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เหล่านี้ แต่นี่เป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ" นางวอร์เรนระบุ ซึ่งก่อนหน้านี้เธอได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความจำเป็นในการควบคุม และความเชื่อมโยงระหว่างธนาคารรายใหญ่กับอุตสาหกรรมคริปโทฯ
อย่างไรก็ตาม แม้มีมุมมองเชิงลบต่ออุตสาหกรรมคริปโทฯ แต่นายไดมอนไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์เทคโนโลยีบล็อกเชน โดยธนาคารเจพีมอร์แกนได้นำบล็อกเชนมาใช้ในโครงการต่าง ๆ มากมาย และได้ออกเหรียญเจพีเอ็ม คอยน์ (JPM Coin) ซึ่งเป็นเหรียญสเตเบิลคอยน์ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินผ่านบล็อกเชนได้
เจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า โทเคนดังกล่าวจะสามารถรองรับการทำธุรกรรมรายวันได้มากถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในสองปีข้างหน้า จากประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน