เออร์เนสต์ อะนาลิติกส์ (Earnest Analytics) บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลของสหรัฐรายงานว่า เทมู (Temu) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กำลังประสบความสำเร็จอย่างมากในสหรัฐ และเข้ามาแข่งขันกับบรรดาร้านค้าสินค้าราคาย่อมเยาในสหรัฐ รวมถึงดอลลาร์ เจเนอรัล (Dollar General) ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีก
ในเดือนที่แล้ว เทมู ซึ่งขายสินค้าในราคาถูกมาก เช่น ของแต่งบ้านในราคา 4 ดอลลาร์ หรือเสื้อเชิ้ตในราคา 10 ดอลลาร์นั้น ได้ครองส่วนแบ่งในตลาดเกือบ 17% ในกลุ่มร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าราคาถูกในสหรัฐ เทียบกับดอลลาร์ เจเนอรัล ที่ครองส่วนแบ่งในตลาด 43% ตามด้วยดอลลาร์ ทรี (Dollar Tree) 28% และไฟฟ์ บีโลว์ (Five Below) ที่ 8%
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า เทมูเปิดตัวในสหรัฐเมื่อเดือนก.ย. 2565 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจากการใช้อินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดียในการโปรโมตสินค้าของเทมูว่ามีคุณภาพดีกว่า และมีราคาจับต้องได้มากกว่าร้านค้าทั่วไป
นายไมเคิล มาลูฟ หัวหน้าฝ่ายการตลาดของเออร์เนสต์ อะนาลิติกส์กล่าวว่า "สินค้าของใช้ในครัวเรือนและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาถูกของเทมู กำลังเป็นภัยคุกคามต่อบรรดาร้านค้าดั้งเดิมที่ขายสินค้าหน้าร้าน เช่น พวกร้านดอลลาร์ (ร้านค้าที่ขายสินค้าราคาถูก ในราคาไม่กี่ดอลลาร์) มากกว่าแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ"
เทมูขายสินค้าหมวดเครื่องแต่งกาย รวมถึงชุดเดรสในราคา 12 ดอลลาร์ และรองเท้าผ้าใบ 12 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังขายสินค้าตกแต่งตามเทศกาลวันหยุด สินค้าสำหรับจัดเก็บข้าวของ และของเล่น เช่นเดียวกับร้านดอลลาร์ต่าง ๆ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เทมูจะสร้างรายได้มากกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ในขณะที่บริษัทกำลังขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ทั้งนี้ เทมู, ดอลลาร์ เจเนอรัล, ดอลลาร์ ทรี และไฟฟ์ บีโลว์ ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอความคิดเห็นจากสำนักข่าวซีเอ็นบีซีเกี่ยวกับรายงานดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ บรรดาร้านดอลลาร์ต่าง ๆ ระบุว่า ไม่คาดว่าเทมูจะสร้างผลกระทบต่อยอดขายของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เน้นการขายบนออนไลน์ และมีฐานลูกค้าที่แตกต่างกัน
ด้านนายปีเตอร์ เอิร์ล นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจอเมริกันกล่าวว่า เทมูใช้ประโยชน์จากความคับข้องใจของนักชอปที่เหนื่อยหน่ายกับราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง
พีดีดี โฮลดิงส์ (PDD Holdings) บริษัทแม่ของเทมูเปิดเผยรายได้เพิ่มขึ้น 94% สู่ระดับ 6.884 หมื่นล้านหยวน (9.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในไตรมาส 3 ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว