ธนาคารโลกเปิดเผยรายงานหนี้ระหว่างประเทศ (International Debt Report) ฉบับล่าสุดเมื่อวันพุธ (13 ธ.ค.) บ่งชี้ว่า กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยหนี้สาธารณะตามกำหนดสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 4.435 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนหน้า และประเทศยากจนที่สุดเสี่ยงได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้น
รายงานระบุว่า ต้นทุนการชำระหนี้สำหรับกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก 24 ประเทศอาจพุ่งสูงถึง 39% ในปี 2566-67
"ระดับหนี้ที่สูงเป็นประวัติการณ์และอัตราดอกเบี้ยสูงทำให้หลายประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤต" นายอินเดอร์มิต กิลล์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และรองประธานฝ่ายเศรษฐศาสตร์เพื่อการพัฒนาของธนาคารโลกระบุ
"ยิ่งอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงต่อไปนานเพียงใด ก็ยิ่งทำให้มีกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเผชิญปัญหาเพิ่มมากขึ้น โดยมีทางเลือกน้อยลงในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยหนี้สาธารณะหรือการลงทุนในด้านสาธารณสุข การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน"
ธนาคารโลกได้ยกตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์ว่า เกิดการผิดนัดชำระหนี้สาธารณะถึง 18 ครั้งจากประเทศกำลังพัฒนา 10 ประเทศในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่ายอดรวมทั้งหมดในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยประเทศเหล่านี้ได้แก่ กานา ศรีลังกา แซมเบีย และอื่น ๆ
ธนาคารโลกระบุว่า เวลานี้มี 28 ประเทศที่มีคุณสมบัติได้ขอกู้ยืมเงินจากสมาคมเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของธนาคารโลก ซึ่งเป็นสมาคมที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือกลุ่มประเทศยากจนที่สุดในโลก โดยปัจจุบันประเทศเหล่านี้เผชิญความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหาหนี้สิน และในจำนวนนี้ 11 ประเทศประสบปัญหาหนี้สินแล้ว
รายงานระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลกและเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าทำให้กลุ่มประเทศที่มีหนี้สาธารณะต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มมากขึ้นในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย โดยกว่า 1 ใน 3 ของหนี้ต่างประเทศของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนานั้นเป็นหนี้ที่ใช้เกณฑ์อัตราดอกเบี้ยผันแปรซึ่งเสี่ยงจะเผชิญกับความผันผวนแบบฉับพลัน