เชลล์ พีแอลซี (Shell PLC) บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ และเอควินอร์ เอเอสเอ (Equinor ASA) บริษัทพลังงานรายใหญ่ของนอร์เวย์ ประกาศเมื่อวันอังคาร (19 ธ.ค.) ว่า ได้อนุมัติโครงการแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซแห่งใหม่ในอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐ ซึ่งมีกำลังผลิตขนาด 90,000 บาร์เรลต่อวัน
โครงการดังกล่าวมีชื่อว่าสปาร์ตา (Sparta) มีกำหนดเริ่มการผลิตในปี 2571 และนับเป็นโครงการแรกในอ่าวเม็กซิโกภายใต้การบริหารของนายวาเอล ซาวาน ซึ่งได้พับแผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของบริษัทไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเพื่อมุ่งความสนใจไปที่การสร้างผลกำไรจากน้ำมัน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เชลล์ถือหุ้น 51% ในโครงการนี้ และจะเป็นผู้ดำเนินการแท่นขุดเจาะ ส่วนเอควินอร์เป็นผู้ถือหุ้นส่วนที่เหลือ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงินที่ลงทุนในโครงการสปาร์ตา
โครงการสปาร์ตาเป็นโครงการที่ 15 ของเชลล์ในพื้นที่อ่าวเม็กซิโก โดยเดิมทีมีชื่อว่านอร์ท แพลตต์ (North Platte) และดำเนินการโดยโททาลเอนเนอร์ยี่ส์ (TotalEnergies) บริษัทพลังงานของฝรั่งเศส แต่โททาลเอนเนอร์ยีส์ได้ถอนตัวจากโครงการไปในปี 2565
ก่อนหน้าที่จะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งซีอีโอนั้น นายซาวานมีบทบาทสำคัญในการดูแลการขายกิจการของเชลล์ในแหล่งน้ำมันหินดินดานของสหรัฐ ซึ่งช่วยทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายส่วนใหญ่ในการลดการผลิตน้ำมันลง 20% ภายในปี 2573
นายซาวานยังเคยเป็นผู้อำนวยการธุรกิจสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำมันดิบของเชลล์มาก่อน และรับผิดชอบการดูแลโครงการเวล (Whale) ในอ่าวสหรัฐ ซึ่งมีกำลังผลิต 100,000 บาร์เรลต่อวัน โดยโครงการนี้ดำเนินการโดยร่วมมือกับพันธมิตรอย่างเชฟรอน (Chevron) บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ และคาดว่าจะเริ่มการผลิตในปีหน้า
ทั้งนี้ เชลล์ได้ลงทุนเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซในอ่าวสหรัฐ หลังจากลดการผลิตในพื้นที่อื่น ๆ
ในปี 2566 เชลล์และเอควินอร์ได้เริ่มการผลิตที่แท่นขุดเจาะน้ำมันวีโต (Vito) ซึ่งมีกำลังการผลิต 100,000 บาร์เรลต่อวัน โดยแท่นขุดเจาะนี้เป็นต้นแบบของทั้งโครงการเวลและสปาร์ตา