หลังจากนิปปอน สตีล ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นประกาศว่าเข้าซื้อกิจการบริษัท ยูไนเต็ด สเตทส์ สตีล คอร์ป หรือยูเอส สตีล ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล็กรายใหญ่ของสหรัฐ ทางทำเนียบขาวของสหรัฐระบุว่า ควรจะมีการตรวจสอบข้อตกลงควบรวมกิจการดังกล่าวอย่างเข้มงวด เนื่องจากยูเอส สตีล มีบทบาทสำคัญในการผลิตเหล็กกล้าของสหรัฐและมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ
ทำเนียบขาวระบุในแถลงการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐมองว่าอุตสาหกรรมเหล็กกล้ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของสหรัฐ และทำเนียบขาวสนับสนุนให้คณะกรรมการการลงทุนต่างประเทศของสหรัฐเข้าทำการตรวจสอบการควบรวมกิจการดังกล่าวอย่างเข้มงวด
นางลาเอล เบรนาร์ด ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐกล่าวว่า "ประธานาธิบดีโจ ไบเดนต้อนรับผู้ผลิตจากทั่วโลกในการลงทุนสร้างงานในสหรัฐ แต่ท่านปธน.ก็เชื่อว่า การซื้อกิจการบริษัทอันโด่งดังของสหรัฐโดยองค์กรต่างชาติในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพันธมิตรใกล้ชิดด้วยแล้ว สมควรได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดในแง่ของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับความมั่นคงของชาติและความน่าเชื่อถือของห่วงโซ่อุปทาน"
ถ้อนแถลงของทำเนียบขาวในครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มากขึ้นจากทั้งฝ่ายนิติบัญญัติของพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน และสหภาพแรงงานเหล็กกล้าสหรัฐ (USW) ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานหลักของบริษัทยูเอส สตีล
อย่างไรก็ดี นิปปอน สตีลและยูเอส สตีล ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของทำเนียบขาว
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา นิปปอน สตีล ประกาศว่าจะเข้าซื้อกิจการยูเอส สตีล ในวงเงิน 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยบริษัทที่เกิดขึ้นหลังการควบรวมกิจการดังกล่าวจะกลายเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และทำให้นิปปอน สตีลมีกำลังการผลิตเหล็กดิบทั่วโลกราว 86 ล้านตันต่อปี ซึ่งจะปูทางไปสู่เป้าหมาย 100 ล้านตันต่อปี
นิปปอน สตีลคาดว่าจะสามารถปิดข้อตกลงดังกล่าวในช่วงไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 2567 โดยขึ้นอยู่กับการอนุมัติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นของยูเอส สตีล และการอนุมัติจากหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบในสหรัฐ