บีเอ็มไอ (BMI) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของฟิทช์ โซลูชันส์ คาดการณ์ว่า ราคาทองแดงในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นมากกว่า 75% ในอีก 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากมีแนวโน้มจะเกิดภาวะชะงักงันด้านอุปทานและอุปสงค์ทองแดงปรับตัวเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากมาตรการผลักดันให้มีการใช้พลังงานทดแทน
รายงานของ BMI ระบุว่า อุปสงค์ทองแดงปรับตัวขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (green energy) และความเป็นไปได้ที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ราคาทองแดงปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์จะทำให้ทองแดงซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
นายแมตตี จ้าว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดทองแดงจากแบงก์ ออฟ อเมริกา ซิเคียวริตีส์กล่าวว่า "ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาคทำให้นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มราคาทองแดง ซึ่งรวมถึงแนวโน้มที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง"
ด้านนักวิเคราะห์ของซิตี้แบงก์กล่าวว่า ในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 (COP28) ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เมื่อไม่นานมานี้ มีประเทศต่าง ๆ กว่า 60 ประเทศที่สนับสนุนแผนการเพิ่มขีดความสามารถในการใช้พลังงานทดแทนเป็น 3 เท่าภายในปี 2573 ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้ทองแดงเป็นที่ต้องการอย่างมาก
ในรายงานที่มีการเผยแพร่ในเดือนธ.ค. 2566 ซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่า การปรับเพิ่มเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนจะทำให้ความต้องการทองแดงพุ่งขึ้นมากถึง 4.2 ล้านตันภายในปี 2573 นอกจากนี้ การปรับเพิ่มเป้าหมายดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาทองแดงทะยานขึ้นแตะระดับ 15,000 ดอลลาร์/ตันในปี 2568 สูงกว่าสถิติสูงสุดที่เคยทำไว้ที่ระดับ 10,730 ดอลลาร์/ตันในเดือนมี.ค. 2566
"การคาดการณ์ดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือซอฟต์แลนดิ้ง และเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยเศรษฐกิจที่อยู่ในทิศทางขยายตัวจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ทองแดง ซึ่งเป็นโลหะที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรอุตสาหกรรม