เหตุอุทกภัยรุนแรงทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียเมื่อเดือนที่แล้ว ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อพืชน้ำตาลและโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟแห่งหลัก โดยคาดว่าอุตสาหกรรมน้ำตาลจะเผชิญกับการสูญเสียการผลิตเมื่อเริ่มต้นเก็บเกี่ยวในปีนี้
นายแดน กัลลิแกน ซีอีโอขององค์กรเคนโกรเวอร์ส (Canegrowers) เปิดเผยว่า พายุไซโคลนแจสเปอร์ก่อให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในรัฐควีนส์แลนด์ ฟาร์มบางแห่งได้สูญเสียพืชน้ำตาลไปมากถึง 60% โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการประเมินความเสียหายในภาพรวม
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ไซโคลนแจสเปอร์เป็นพายุไซโคลนลูกแรกที่ขึ้นฝั่งออสเตรเลียในฤดูกาลนี้ ซึ่งทำให้เกิดฝนตกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน โดยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นส่งผลให้ไฟฟ้าดับในเขตอยู่อาศัยบางส่วนทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ ผู้คนต้องหนีน้ำขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าน นอกจากนี้แล้ว พืชผลต่าง ๆ เช่น กล้วย ก็จมอยู่ใต้น้ำ
รัฐควีนส์แลนด์ผลิตน้ำตาลเป็นสัดส่วนราว 95% ของทั้งออสเตรเลีย โดยนายกัลลิแกนกล่าวว่า พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมนั้นคิดเป็น 1 ใน 5 ของพืชน้ำตาลของประเทศ แม้อ้อยส่วนใหญ่จะได้รับการเก็บเกี่ยวก่อนที่พายุจะข้ามชายฝั่งมาถึง แต่คาดว่าผลกระทบจากพายุจะส่งผลต่อการเพาะปลูกในปี 2567
"เรายังไม่ถึงช่วงที่ฝนตกหนักมากที่สุดของฤดูฝน ดังนั้นในช่วงที่เราข้ามผ่านเดือนม.ค.และเดือนก.พ. จึงมีความกังวลอยู่ว่าสถานการณ์อาจแย่ลง หากมีฝนตกหนักมากขึ้น หรือมีพายุไซโคลนมาอีก" นายกัลลิแกน ระบุ
ทั้งนี้ รายงานของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำบาร์รอนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2520 โดยน้ำที่เอ่อล้นจากแม่น้ำได้ไหลเข้าท่วมสนามบินในเมืองแคนส์ จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเที่ยวชมแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) อันเลื่องชื่อ ซึ่งเป็นแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติโดยยูเนสโก