ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกรายงานคาดการณ์ว่า บิตคอยน์จะพุ่งแตะระดับ 200,000 ดอลลาร์ภายในปี 2568 หากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ให้การอนุมัติการจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF
สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดคาดว่า กระแสเงินทุนราว 50,000-100,000 ล้านดอลลาร์จะไหลเข้าสู่บิตคอยน์ในปีนี้ หากมีการอนุมัติ Spot Bitcoin ETF ซึ่งจะดึงดูดให้นักลงทุนสถาบันเข้าสู่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การที่สหรัฐอนุมัติจัดตั้งกองทุน Spot Bitcoin ETF จะเป็นปัจจัยผลักดันให้บิตคอยน์ดีดตัวขึ้นต่อไป เหมือนกับการอนุมัติจัดตั้งกองทุน ETF ของทองเป็นครั้งแรกในเดือนพ.ย.2547 ซึ่งทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในทองได้สะดวกขึ้นเพียงเข้าซื้อกองทุน ETF โดยไม่ต้องถือครองทองโดยตรง และทำให้ทองกลายเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่นักลงทุนเลือกในการกระจายการลงทุน
การเปิดกองทุน ETF ทองในปี 2547 ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อจำนวนมากเข้าสู่ตลาด และทำให้ราคาทองพุ่งขึ้นจากต่ำกว่าระดับ 500 ดอลลาร์/ออนซ์ไปสู่ระดับใกล้ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในเวลาเพียง 8 ปี
ด้านนายคริส เวสตัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทเปปเปอร์สโตน กรุ๊ป กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ Sell on Fact ทันทีที่ SEC ให้การอนุมัติการจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF
นอกจากนี้ นายเวสตันระบุว่า ปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่า บิตคอยน์จะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 51,000 ดอลลาร์ ก่อนที่จะปรับตัวลงจากการที่นักลงทุนเข้าทำกำไร
ทั้งนี้ บิตคอยน์ปรับตัวลงในวันนี้ หลังจากพุ่งทะลุ 47,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2565 โดยได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า SEC อาจให้การอนุมัติการจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF ภายในสัปดาห์นี้
ขณะนี้ บิตคอยน์ได้ทะยานขึ้น 173% ในรอบ 12 เดือน และพุ่งขึ้น 10% นับตั้งแต่ต้นปี 2567 สวนทางการปรับตัวลงของตลาดหุ้นและทอง
ข้อมูลจาก Coinswitch ระบุว่า การทะยานขึ้นของบิตคอยน์ได้ผลักดันให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมีมูลค่ามากกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ บริษัทหลายแห่งได้พากันปรับลดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายกองทุน Spot Bitcoin ETF เพื่อแย่งส่วนแบ่งในตลาด แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีการอนุมัติต่อการจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF ก็ตาม
การประกาศปรับลดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายกองทุน Spot Bitcoin ETF ของบริษัทต่างๆ เป็นสัญญาณบ่งชี้ความเชื่อมั่นว่า SEC จะให้การอนุมัติการจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF ในไม่ช้า
บริษัทจำนวน 13 แห่งได้ยื่นแบบฟอร์ม S-1 แสดงความจำนงในการจัดตั้งกองทุน Spot Bitcoin ETF ต่อ SEC แล้ว ซึ่งได้แก่
Grayscale Bitcoin Trust, Ark/21Shares Bitcoin Trust, Bitwise Bitcoin ETF Trust, BlackRock Bitcoin ETF Trust, VanEck Bitcoin Trust, WisdomTree Bitcoin Trust, Valkyrie Bitcoin Fund, Invesco Galaxy Bitcoin ETF, Fidelity Wise Origin Bitcoin Trust, Global X Bitcoin Trust, Hashdex Bitcoin ETF, Franklin Templeton Digital Holdings Trust และ Pando Asset Spot Bitcoin Trust
ทั้งนี้ ARK 21Shares Bitcoin ETF ปรับลดค่าธรรมเนียมสู่ระดับ 0.25% จากเดิมที่ระดับ 0.80% ขณะที่ BlackRock กำหนดค่าธรรมเนียมที่ 0.30% และ VanEck มีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 0.25% โดยมี Grayscale กำหนดค่าธรรมเนียบสูงสุดที่ 1.5%
หาก SEC ให้การอนุมัติการจัดตั้งกองทุน Spot Bitcoin ETF จะทำให้นักลงทุนที่ซื้อกองทุนดังกล่าวสามารถเข้าลงทุนในบิตคอยน์ได้โดยไม่ต้องถือครองโดยตรง และจะสร้างความสนใจต่อนักลงทุนสถาบัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้หลีกเลี่ยงการลงทุนในบิตคอยน์ เนื่องจากกังวลว่าบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ขาดการควบคุมด้านกฎระเบียบจากหน่วยงานกำกับดูแล
บริษัทต่างๆ ซึ่งมีความสนใจในการจัดตั้งกองทุน Spot Bitcoin ETF มีกำหนดเส้นตายในการทบทวนแบบฟอร์ม S-1 เพื่อยื่นแสดงความจำนงต่อ SEC ภายในวันที่ 8 ม.ค. ขณะที่ SEC มีกำหนดเส้นตายในวันพรุ่งนี้ (10 ม.ค.) ในการประกาศผลการพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติต่อแบบฟอร์มของบริษัทต่างๆ ที่ได้ยื่นแสดงความจำนงต่อ SEC
นอกจากนี้ SEC มีกำหนดให้การอนุมัติหรือไม่อนุมัติต่อแบบฟอร์ม 19b-4 ของแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ต้องการจดทะเบียนซื้อขายกองทุน Spot Bitcoin ETF ภายในไม่กี่วันข้างหน้า
ทั้งนี้ SEC จะต้องให้การอนุมัติแบบฟอร์ม S-1 และ 19b-4 ก่อนที่จะเริ่มเปิดการซื้อขายกองทุน Spot Bitcoin ETF ในตลาด
ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ของ SEC ได้จัดการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่จากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก, ตลาด Nasdaq และ ตลาด Chicago Board Options Exchange เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ซึ่งทั้ง 3 ตลาดเป็นตลาดที่มีการซื้อขายกองทุน ETF
การประชุมดังกล่าวทำให้มีการคาดการณ์กันอย่างแพร่หลายว่า SEC จะให้การอนุมัติการจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF ในไม่ช้า
นักวิเคราะห์มีความมั่นใจว่า SEC จะให้การอนุมัติจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF ไม่เกินวันที่ 10 ม.ค.2567 ซึ่งจะเป็นการอนุมัติครั้งแรกในสหรัฐ
ทั้งนี้ บิตคอยน์พุ่งขึ้นมากกว่า 150% ในปีที่แล้ว โดยให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นเพียง 24%
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าบิตคอยน์ยังคงมีแนวโน้มดีดตัวขึ้นต่อไป โดยได้ปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ รวมทั้งปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.2567